40,000 บาทภายใน 7 วันกับ Diamond Holiday...ของจริง มาเป็นต้นสายก่อนใคร...ถ้าคุณรู้จัก TVI express นี่คือโปรแกรมที่จะมาทดแทนและอุดปัญหาที่เคยพบเจอ

www.diamondholidaytravel.co.cc

ไม่ ต้องรักษายอดรายเดือน

ไม่ ต้องเดินทางไปอบรม

ไม่ ต้องเก็บสต๊อกสินค้า

ไม่ ต้องขายปลีก

ไม่ ต้องเดินสุ่มให้เสียเวลา

10 กฎฉลาดจ่าย

by Nudtagid | 21:22 in |

10 กฎฉลาดจ่าย


ดัล รีมเพิล คอลัมนิสต์เวบไซต์ fool.com ได้แนะนำเทคนิคการเพิ่มทักษะการใช้จ่ายไม่ให้เงินทองรั่วไหล.ดัลรีมเพิล แนะนำให้จ่ายได้ด้วยสมอง เป็นการคิดรอบคอบก่อนจ่าย ไม่ให้เงินทองรั่วไหลหรือสูญเปล่าไว้อยู่เสมอ ถือเป็นอีกช่องทางหนึ่ง ที่จะช่วยสั่งสมมรดกกับสินทรัพย์ ให้มีแต่จะงอกเงยได้ทางอ้อม
1."จ่ายให้น้อยกว่าเงินที่หามาได้" คือกฎข้อแรกที่ดัลรีมเพิลแนะว่า เป็นด่านแรกที่เจ้าของกระเป๋าเงินต้องคิดต้องทำก่อนปล่อยให้เม็ดเงินไหลออก ไป และคำแนะนำนี้ชัดเจนถือเป็นกฎจำเป็นต้องทำ หรือท่องจำไว้ในใจเสมอว่า ไม่มีใครเคยใช้จ่ายเกินรายได้แล้ว จะสามารถไปถึงเป้าหมายความมั่นคงทางการเงินได้

2. "ซื้อแต่สิ่งสำคัญจำเป็น" อีกกฎหนึ่งที่สำคัญ ซึ่งดัลรีมเพิลเพิ่มเติมว่า นอกจากให้ซื้อแต่สิ่งสำคัญ และจำเป็นแล้ว ขอให้ลืมสิ่งของนอกรายการที่อยากได้ไปเลย หากเจ้าของเงินซื้อหาของใช้ที่จำเป็น รองรับความต้องการในการดำรงชีพขั้นพื้นฐานได้ครอบคลุมแล้ว เงินที่เหลือสามารถนำไปใช้อย่างรอบคอบในกิจกรรมอื่น

การใช้เงินที่ เหลืออย่างรอบคอบ ไม่ได้หมายถึงความรอบคอบในการคลั่งไคล้อยากได้ด้วยอารมณ์ชั่ววูบตามแฟชั่น การไล่ตามให้ทันสินค้าหรือของออกใหม่ล่าสุด ไม่ทำให้เจ้าของเงินมีความสุขเท่ากับจ่ายเงินซื้อของที่มีคุณค่าสำหรับตัว เอง อย่าเกิดความไม่มั่นใจในจุดยืนของตัวเอง แม้เพื่อนบ้านคิดว่าคุณกำลังตระหนี่ถี่เหนียว ด้วยการซื้อของตกรุ่นไม่ทันสมัย

3."ไม่ซื้อ สิ่งเกินจำเป็นหรือไม่อยู่ในปัจจัย4" ดัลรีมเพิลย้ำว่าสิ่งของจำเป็นขั้นพื้นฐานในมุมมองของเขา หมายถึงอาหารต้องกินเป็นประจำ ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค และสิ่งของอื่นที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ซึ่งตามปกติของใช้ชีวิตประจำวัน ต้องมีการลำดับการซื้อโดยการตัดสินใจด้วยตัวเอง และทำเหมือนเป็นหน้าที่

ใน กรณีของดัลรีมเพิล ช็อกโกแลตแท่งกับชีสเป็นของโปรด สำหรับคนอื่นอาจเป็นดีวีดีหรือวิดีโอเกมใหม่ แต่เมื่อจดรายการของไม่จำเป็นต้องซื้อไว้ด้านหลัง กำหนดให้สิ่งของจำเป็น เป็นรายการที่ต้องตัดสินใจซื้ออันดับแรก อาจทำให้เจ้าของเงินอยากซื้อหรืออยากกินของที่ไม่จำเป็นน้อยลง

4 "ซื้อหาให้คำนึงถึงมูลค่ากับคุณค่า" กฎข้อนี้หมายความว่า การซื้อต้องได้สินค้าดีที่สุด มีอายุการใช้งานนานที่สุด ให้คุ้มค่ากับเงินทุกบาททุกสตางค์ที่จ่ายไป แต่ดัลรีมเพิลเตือนว่า อย่าคว้าเอาสิ่งของราคาถูกสุดในทันที เว้นเสียแต่ว่าเจ้าของเงินไม่สนใจหรือไม่ได้ให้ความสำคัญกับคุณภาพ

โดย ดัลรีมเพิลอธิบายว่าเจ้าของเงินจะต้องทำการสำรวจหาข้อมูลบ้าง และต้องมีเหตุผลกับไอเดียที่ดี ยิ่งการซื้อเพื่อจะได้ของชิ้นใหญ่ขึ้น ต้องวางแผนกันนานหน่อย หลังประเมินว่าอยากได้หรืออยากซื้อ แต่ของที่จะซื้อจึงต้องเน้นที่คุณภาพและอายุการใช้งาน

5"ลงทุนเพื่อคุณภาพ" สำหรับกฎข้อนี้ ดัลรีมเพิลแนะว่าเจ้าของเงินต้องนึกอยู่เสมอว่า การซื้อของแต่ละครั้งต้องได้มูลค่ากับอายุของสินค้ายาวนาน หรือมีความคงทนมากที่สุด

ตามแหล่งต่างๆ มีสินค้าหรือสิ่งของรายการ ที่มีคุณสมบัติการใช้สอยมากมาย ซึ่งเป็นสิ่งของใช้สอยที่สามารถกลายเป็นของอีกชิ้นหนึ่งที่มีความคงทนถาวรใน บ้าน

พยายามซื้อสิ่งของเครื่องใช้ไม้สอยภายในบ้าน ที่คงทน และอยู่ได้นานที่สุด หากเป็นไปได้ให้ใช้ได้นานจนตลอดชีวิตผู้ใช้ อย่างเช่น การหาซื้อจานชามอุปกรณ์ทานอาหารค่ำ ที่เจ้าของเงินสามารถเป็นเจ้าของ และใช้ประโยชน์ไปได้อีกนาน หรือหาซื้อไขควงสักตัวหนึ่งที่สามารถใช้ และเก็บรักษาไว้ได้คงทน จนสามารถนำไปใช้อย่างคุ้มค่าชั่วลูกชั่วหลาน

กฎ ข้อนี้เจ้าของเงินจำเป็นต้องใช้ความคิดมากขึ้น เกี่ยวกับรสนิยมและความต้องการตามความจำเป็นของตัวเอง ซึ่งความรอบคอบจะช่วยประหยัดเงินได้ ก่อนตัดสินใจควักกระเป๋าซื้อ

ขอ ให้คิดอยู่เสมอว่า หากใช้จ่ายได้สินค้าตรงใจแถมประหยัดตั้งแต่ต้น จะช่วยขจัดปัญหาต้นทุนที่อาจบานปลายเพราะต้องคอยซื้อของใหม่มาทดแทนของเก่า ที่ขาดคุณภาพไม่คงทน

6 "ให้คำนึงถึงความจำ เป็นของตัวเอง" เพื่อไม่ให้ในบ้านรกไปด้วยของใช้ไม่ได้ใช้งาน โดยการซื้อของต่างๆ ไว้ล่วงหน้าโดยที่ยังไม่ต้องการนำมาใช้จริง

กฎ ข้อนี้ของดัลรีมเพิล สามารถนำไปประยุกต์ใช้ปฏิบัติตัดสินใจกับการซื้อของใช้งาน ที่ต้องเลือกรุ่น และยี่ห้อซึ่งมีหลากหลาย อย่างคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือ

ขอให้ จำไว้ว่า หากเจ้าของเงินยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้ของฟุ่มเฟือยหรูหรา ให้หักห้ามใจ และอย่าได้ควักเงินซื้อของเกินความจำเป็นเหล่านี้

7 "ลองเลิกยึดติดกับยี่ห้อสินค้า" อาจเป็นเรื่องยากกับการปรับเปลี่ยนนิสัยการใช้ของ เพราะจากที่เคยเดินเข้าไปหยิบน้ำยาซักผ้าหรือน้ำยาซักแห้งยี่ห้อเดิมทุกๆ ครั้ง บนชั้นวางจำหน่ายของตามห้าง

ดัลรีมเพิลขอให้ผู้บริโภคคนไทย ลองเลือกใช้สินค้าอีกยี่ห้อหนึ่งที่มีราคาถูกกว่า หรือสินค้าทางเลือกอื่นๆ ที่มีคุณภาพใกล้เคียงกัน แม้อาจไม่มียี่ห้อดังการันตีบ้างบางโอกาส ถือเป็นการลองใช้สินค้าที่มีคุณภาพเหมือนๆ กัน เพื่อจะได้จ่ายน้อยลง

8 "ซื้อด้วยความใจเย็น" การซื้อสิ่งของเครื่องใช้ใดๆ ก็ตามแบบรีบร้อนฉุกละหุก โดยเฉพาะสิ่งของที่เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นใหญ่ อาจทำให้ผู้ซื้อรู้สึกผิดหวังได้ และในกรณีที่รู้ว่าเครื่องซักผ้าที่มีอยู่ใช้งานได้อีกไม่นาน ขอให้เริ่มต้นหาเครื่องซักผ้าใหม่ได้เลย

แต่ก่อนจะตัดสินใจซื้อ ขอคิดให้นานทบทวนให้ดี ใจเย็นอีกสักหน่อย จะช่วยเจ้าของเงินประหยัดจ่ายไปได้อีกมาก หรืออย่างน้อยเจ้าของเงินยังมีเวลา สามารถประเมินบริหารงบประมาณได้ว่า จะซื้อเครื่องซักผ้าใหม่อย่างไร ในราคาไม่เกินงบประมาณ

9 "ตรวจสอบใจว่าอยากซื้อหรือไม่" เป็นกฎที่ดัลรีมเพิลแนะนำไว้เป็นข้อสุดท้ายว่า หากผู้บริโภครู้สึกตัวเองว่ากำลังดึงบัตรเครดิตออกมา เพื่อซื้อของบางอย่างที่ขาดไม่ได้ในชีวิตนี้ ขอให้หยุดความคิดที่จะซื้อไว้สักพักหนึ่ง

โดยดัลรีมเพิลขอให้ผู้ บริโภควัดใจตัวเองอีกสักรอบ รอคอยสัก 2-3 วัน หรือ สักสัปดาห์หนึ่งค่อยกลับมาดูสิ่งของที่จะซื้อใหม่อีกครั้ง

หากผู้ บริโภคคิดว่ามีชีวิตอยู่ไม่ได้ถ้าขาดสิ่งของที่หมายตาอยากได้ แสดงว่าสิ่งของชิ้นนั้นสำคัญควรค่าแก่การซื้อ แต่ในทางกลับกัน หากผู้บริโภคลืมทุกอย่างเกี่ยวกับสิ่งของชิ้นนี้ หมายความว่าสิ่งของกลับไม่มีค่าหรือจูงใจให้ซื้ออีก

ดัลรีมเพิลฝาก ทิ้งท้ายไว้ว่า ด้วยกฎเตือนใจที่เขานำเสนอมา น่าจะช่วยผู้บริโภคคนไทย ทั้งในและต่างประเทศทั่วโลก เมื่อคิดจะเดินทางจับจ่ายซื้อของ จากนี้ไปจะสามารถบริหารเงินกับค่าใช้จ่ายได้ดี ด้วยการคิดถึงประโยชน์กับการประหยัดเป็นที่ตั้ง เพื่อการเงินแข็งแกร่ง และมั่นคงของตัวเองในอนาคต

จากบทความในเวปไซด์กรุงเทพธุรกิจหายไป หนึ่งข้อคือ
"Scrimp on low priorities"ซึ่ง คือ การตัดรายการของที่มีความสำคัญในอันดับท้ายๆ คุณควรใช้จ่ายให้น้อยที่สุดในสิ่งของที่คุณไม่ต้องใส่ใจอะไรมากหรือเป็นสิ่ง ที่คุณคิดว่าจะใช้ของที่ใช้เพียงครั้งเดียวแล้วทิ้ง...คือจงจ่ายให้น้อยใน สิ่งที่คิดว่าจะใช้เพียงครั้งเดียวแล้วต้องทิ้ง ถ้าเป็นไปได้ก็ควรตัดรายการที่สำคัญน้อยๆทิ้งไปเลย

5 นิสัยทางการเงินที่ควรแก้ไข

๑.ผลี ผลามลงทุน
กระโจนเข้าซื้อหุ้นร้อนทันทีที่เพื่อนหรือ โบรกเกอร์เชียร์ เพราะหวังว่าจะทำกำไรระยะสั้น!!!
ลงทุนในกอง ทุนอสังหาริมทรัพย์ เพราะฟังผู้รู้บอกว่าเป็นช่องทางที่หยิบยื่นกำไรอันงดงามให้!!!!
ไม่พูด พร่ำทำเพลง เห็นราคาทองวิ่งฉิว เลยขอร่วมแจม เพราะอยากได้กำไรจากการขยับตัวขึ้นของราคาทองคำ!!!
เหล่านี้รึเปล่า ที่เป็นพฤติกรรมการลงทุนของคุณ แล้วท้ายสุด ต้องมานั่งเก๊กซิมกับผลที่ออกมา เพราะฤทธิ์แต่ผลีผลามเข้าไปลงทุนโดยไม่ศึกษาให้รู้และเข้าใจอย่างถ่องแท้
นิสัย การลงทุนแย่ๆ แบบนี้ ใครๆ ก็เป็นได้ โดยมากเมื่อปล่อยให้ความโลภเข้ามาครอบงำเมื่อไหร่ รับรองได้เลยว่าคุณจะผลีผลามเข้าลงทุนอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง
ถ้าปีจอ ทั้งปี คุณยังลงทุนด้วยพฤติกรรมแบบนี้ อย่าปล่อยให้ปีหมูซ้ำรอยปีจอ เริ่มต้นปีใหม่ด้วยการวางแผนลงทุนอย่างมีสติมากขึ้น เช่น ปีนี้ตั้งเป้าไว้ตั้งแต่ต้นปีว่าก่อนลงทุนคุณจะไตร่ตรองอย่างละเอียด ศึกษาทุกรายละเอียดอย่างถ่องแท้ ให้รู้ลึกรู้จริง ก่อนจะตัดสินใจควักเงินลงทุน
หรือปีนี้ตั้งใจจะรื้อปรับขยับพอร์ตใหม่ วางมือจากพวกปั่นหุ้นเก็งกำไร หวือหวาผาดโผน ก็ลองศึกษาหาความรู้เจาะลึกหุ้นพื้นฐานให้เยอะเข้าไว้ เพื่อเริ่มต้นปีใหม่ด้วยพอร์ตที่สดใสกว่าเดิม
ไม่เพียงเลิกนิสัยผลีผลาม เข้าลงทุนเท่านั้น แต่ควรจะเริ่มต้นปีใหม่ด้วยการศึกษาหาช่องทางการลงทุนใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นตราสารอนุพันธ์ หรือพวกกองทุนคอมมูนิตี้ ไปจนถึงศึกษาการลงทุนในรูปแบบใหม่ๆ เช่น การลงทุนทางออนไลน์

๒.ไม่เคยคิดออมเงินตอนนี้ภาระล้นมือ ไหนจะต้องส่งเงินให้พ่อแม่ ไหนจะต้องส่งหลานเรียน เอาไว้ให้อยู่ตัวก่อนแล้วค่อยลงมือออม!!!
โอ้โห..ต้องผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ผ่อนมือถือ ผ่อนแอร์ เดือนๆ หนึ่งจะให้เหลือเงินที่ไหนไปออม!!!
เงิน เดือนน้อยจะแย่ ค่าน้ำมันก็แพง ดอกเบี้ยก็แพง เงินเฟ้อก็พุ่ง ถ้ามีเงินเหลือไว้ออมก็เกินไปล่ะ!!!!
เอาไว้ ปีหน้าออมแน่ๆ ปีนี้ไม่ไหว ขอสะสางพวกหนี้บัตรเครดิต หนี้เงินด่วนก่อน!!!
ปีที่ผ่านๆ มา คุณอาจจะเคยผลัดวันประกันพรุ่งกับการออม ซึ่งเป็นนิสัยทางการเงินที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ไหนๆ ปีใหม่นี้เป็นปีหมู แค่สัญลักษณ์ก็ถือว่าเชิญชวนให้ออมเงินแล้ว ฉะนั้น สลัดทิ้งซะ ไอ้นิสัยผลัดวันประกันพรุ่งกับการออม
ถ้าไม่รู้จะเริ่มต้นตรงจุดไหนอย่าง ไร พอเริ่มต้นปีหมู ก็ให้เดินไปที่แบงก์แล้วเปิดบัญชีเงินฝากประจำ แล้วฝากเข้าทุกเดือนๆ หรือสำหรับคนที่มีเค้าว่าเป็นคนที่มีวินัยหย่อนยาน ลองทำโปรแกรมหักบัญชีอัตโนมัติเข้าบัญชีเงินฝากประจำไปเลย รับรองว่าพอสิ้นปีหมูก้าวเข้าสู่ปีชวด คุณจะกลายเป็นคนใหม่ที่มีเงินออม

๓.ฟุ่มเฟือยเป็นนิสัย
เพิ่งซื้อกระเป๋า ใบใหม่ราคาเรือนพันเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี้เอง วันนี้ซื้ออีกใบเพราะเห็นว่าสวยดีและอยากได้!!!
ใครๆ ก็รู้ว่าชอบชอปปิงมาแต่ไหนแต่ไร ไม่เห็นจะแปลกถ้าช้อปวันละหมื่น เงินเดือนไม่พอเดี๋ยวค่อยไปขอพ่อแม่!!
เป็นคนสะสมรองเท้า เห็นทีไรเป็นต้องซื้อ ถึงจะคู่ละพันหรือคู่ละหมื่นก็ต้องซื้อ ถ้าใจชอบซะอย่าง!!!
เหล่านี้รึเปล่าที่เป็นนิสัยการใช้เงินของคุณ โละทิ้งไปเลยถ้าปีใหม่นี้คุณอยากเป็นคนที่มีเงินออมเก็บเป็นกอบเป็นกำเหมือน อย่างคนอื่นเขา
เพราะการฟุ่มเฟือยจนเป็นนิสัยนี่แหละ ที่หากปล่อยทิ้งไว้ ก็มีแต่จะทำให้คุณตั้งหลักการออมไม่ได้ซะที สลัดทิ้งนิสัยฟุ่มเฟือยให้อยู่กับปีจอนี่แหละ ปีหมูที่กำลังจะคืบคลานมาถึงนี้ ขอให้คุณคิดหน้าคิดหลังก่อนทุกครั้งที่จะจับจ่าย ใช้สอยอย่างมีเหตุมีผล และให้คุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์

๔.สร้าง หนี้ซ้ำเติมตัวเอง
หมุนเงินไม่ทัน โชคดีที่กู้หนี้นอกระบบมาแก้สถานการณ์ไว้ได้ทัน!!!
ก็เห็นเจ้าหน้าที่ แบงก์ที่โทรมา เขาบอกว่าให้ดอกเบี้ยถูกเป็นพิเศษก็เลยกู้ไว้ พอดีกำลังอยากซื้อทีวีเครื่องใหม่!!!
เพิ่งตกลงทำบัตรเครดิตใบใหม่ไป ตอนนี้มี 5 ใบแล้ว เผื่อไว้ก่อน จะได้กดเงินจากบัตรใหม่มาโปะหนี้บัตรเก่า!!!
พอทีเถอะ สำหรับการสร้างหนี้ขึ้นมาซ้ำเติมตัวเอง จำไว้ให้ขึ้นใจ ไม่ว่าจะเป็นหนี้สายพันธ์ไหนก็ช่าง ก็คอยแต่จะบั่นทอนสุขภาพทางการเงินของคุณทั้งสิ้น
จะบอกให้สลัดหนี้ทิ้ง รับปีหมู คงไม่หมูอย่างที่คิด เพราะฉะนั้น ก็ให้โละทิ้งนิสัยชอบสร้างหนี้ ใจแข็งเข้าไว้อย่าเผลอไปใช้บัตรเครดิตกดเงินสด อย่าหลงคารมแบงก์ที่มักจะสร้างโปรโมชั่นกู้เงินด้วยดอกเบี้ยถูกๆ ในช่วงแรก อย่าคิดสั้นด้วยการหันไปกู้หนี้นอกระบบ
ให้ปีหมูที่กำลังเดินทางมาถึง เป็นปีที่คุณค่อยๆ ปลดเปลื้องหนี้อย่างมุ่งมั่นและตั้งอกตั้งใจ อย่าริไปกู้อะไรสร้างหนี้เพิ่มให้ชีวิตอีก อาจไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับการสางหนี้ให้หมดอย่างรวดเร็ว แต่ขอให้อดทนแล้ววันหนึ่งอิสรภาพทางการเงินก็จะอยู่เคียงข้างคุณ

๕.มองข้ามเรื่องที่ควรใส่ใจเปิดดูสเตทเมนท์ บัตรเครดิตเสร็จ ก็ขยำทิ้งลงถังขยะ ขี้เกียจเก็บไว้ รกเปล่าๆ !!!!
อ๋อ ใบเสร็จค่าประกัน ค่างวดผ่อนบ้านเหรอ จ่ายแล้วก็แล้วกัน เก็บไว้ทำไม!!!
ไม่ ค่อยได้สนใจหรอกเรื่องลงทุนน่ะ ซื้อกองทุนไว้แล้วก็ปล่อยให้มืออาชีพเขาบริหารไป!!!

ถ้าเหล่านี้คือ พฤติกรรมปกติของคุณ น่าจะปรับเปลี่ยนซะ เปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ที่ใส่ใจเรื่องที่ดีมีประโยชน์
เช่นเรื่องบัตร เครดิต ไม่ใช่สักแต่ว่าเปิดมาดูแล้วขยำทิ้ง แต่ตรวจตราซะหน่อยว่ามีอะไรโผล่มาอย่างผิดปกติหรือเปล่า หรือแม้แต่ค่างวดผ่อนบ้านผ่อนรถหรือผ่อนอะไรก็ตาม ทางที่ดีควรเก็บไว้ก่อน เผื่อว่ามีปัญหาขึ้นมาจะได้งัดใบเสร็จมายืนยันการชำระของคุณได้

ส่วน เรื่องลงทุนหรือออมก็เช่นกัน เมื่อทำธุรกรรมการเงินอะไรก็แล้วแต่ อย่าได้เพิกเฉยหรือละเลย แต่ต้องติดตามผลการลงทุน เก็บหลักฐานการลงทุนหรือออมเอาไว้ หากปีก่อนๆ คุณยังมองข้ามหรือละเลยเรื่องที่ควรใส่ใจล่ะก็ ยังไม่สายเกินไป เริ่มซะตั้งแต่ปีหมูนี่แหละ

อิสรภาพทางการเงินขั้นพื้นฐาน


ไป อ่านตามLinkที่เห็นจากเวปบอร์ดที่เข้าไปอ่านประจำ

อิสรภาพทางการเงินขั้นพื้นฐาน
อาทิตย์, 04 มีนาคม 2007
อิสรภาพทางการเงินไม่ใช่เรื่องยาก คุณเองก็สามารถเริ่มต้นได้ ด้วยแนวทางง่าย ๆ ดังต่อไปนี้

1) เก็บ 10 เปอร์เซ็นต์ (ของรายรับทุกประเภท)

การ ออมเป็นจุดเริ่มต้นสู่อิสรภาพทางการเงิน เริ่มต้นออมง่าย ๆ โดยการหักเก็บ 10 เปอร์เซ็นต์จากรายรับทุกประเภทของคุณ ทันทีที่ได้รับเงินมา อย่าเพิ่งใช้จ่าย หักเก็บฝากธนาคารให้เป็นนิสัย

เริ่มทำวันนี้ แม้จะเป็นหนี้อยู่ก็ตาม คนมั่งมีหลายคน ก็เริ่มต้นจากวินัยทางการเงินง่าย ๆ เหล่านี้ทั้งสิ้น

ทำทันที ตอนนี้มีเงินอยู่ในมือ หรือ ATM เท่าไหร่ หัก 10 เปอร์เซ็นต์ เปิดบัญชีใหม่ บัญชีที่คุณจะไม่ถอนออกมาใช้จ่ายเด็ดขาด จำไว้ว่า ไม่ต้องรอให้เยอะ การตัดสินใจทำทันทีเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า

2) เศรษฐกิจพอเพียง

คนเราในทุกวันนี้มีทุกข์เพราะไม่ รู้จักพอ เราใช้ชีวิตกันเกินพอดี เกินความจำเป็น และนั่นคือเหตุผลสำคัญที่ทำให้เราอยู่ห่างจากอิสรภาพทางการเงินไปไกลทุกที

นิตยสาร Financial Freedom ขอเชิญคนไทยทุกคน ร่วมเดินทางตามรอยเท้าพ่อของคนไทยทั้งแผ่นดิน ด้วยการใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ลด ละ หลีกเลี่ยงการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เรียนรู้การใช้ชีวิตอย่างมีสติ รู้ยั้งคิดก่อนใช้จ่าย เพื่อความสุขในวันนี้ และวันข้างหน้าของพวกเราทุกคน

ทำ ทันที ลองจดค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของคุณ ทุกวันจนครบ 1 เดือน แยกค่าใช้จ่ายออกเป็นกลุ่ม เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าที่พัก ค่าเสื้อผ้า เป็นต้น แล้วคุณจะพบว่า คุณสามารถประหยัดเงินในค่าใช้จ่ายบางรายการได้ทันที

3) สำรองใช้จ่าย หกเดือน

คนหลายคน ที่มีหน้าที่การงานที่ดี ก็มักจะประมาทกับชีวิต ในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน คนทำงานอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ ทุกคนล้วนมีความเสี่ยงทั้งสิ้น สำรองเงินไว้ล่วงหน้า อย่าประมาท

เพราะเมื่อวันนั้นมาถึง ผู้ที่เตรียมตัวพร้อมเท่านั้น ที่จะรักษาสถานภาพของตนอยู่ได้

ทำ ทันที เริ่มต้นวางแผนเก็บเงินสำรอง 6 เดือน (ประมาณการจากรายจ่ายต่อเดือน) เก็บเดือนละเท่าไหร่ อีกกี่เดือนจึงจะเงินสำรองครบ 6 เดือน

4) ประกันชีวิต และสุขภาพ

กฎทองของ การประกัน ก็คือ “คุณไม่สามารถซื้อประกันได้ในเวลาที่คุณต้องการ” ใครเล่าจะล่วงรู้วันข้างหน้า จงไม่ประมาทและเตรียมการพร้อมไว้ดีกว่า เพื่อวันที่เกิดสิ่งไม่คาดฝัน ปัญหาเหล่านั้นจะไม่ส่งผลกระทบกับครอบครัวของคุณ

ทำทันที เริ่มมองหาประกันชีวิต และสุขภาพที่คุ้มครองรายจ่ายของคุณ วางแผนเก็บเงิน เพื่อวันข้างหน้า

5) เรียนรู้ตลอดชีวิต

เพราะ ความรู้ คือ เครื่องมือที่สำคัญที่สุดที่จะพาคุณไปสู่อิสรภาพทางการเงิน คนที่หยุดเรียน หยุดรู้ ไม่มีทางก้าวหน้าได้ ดังนั้น จงเริ่มต้นลงทุนเวลาให้กับการเรียนรู้ของคุณ

ลองพิจารณาเวลาที่คุณ ใช้ในแต่ละวัน แต่ละสัปดาห์ ว่าเราใช้ไปกับเรื่องใดบ้าง และแบ่งเวลาให้กับการเรียนรู้สักแค่ไหน มีสุภาษิตอังกฤษกล่าวไว้ว่า “You’re what you study”

รูปแบบการเรียนรู้มีอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรียนรู้ในชั้นเรียน เรียนรู้จากการเข้าร่วมสัมมนาที่เป็นประโยชน์ อ่านหนังสือเพิ่มพูนทักษะ ใช้เวลากับชมรม หรือสมาคมที่สนใจในเรื่องเดียวกับคุณ พูดคุยกับผู้รู้ ผู้มีประสบการณ์ จงอย่าปิดกั้นตัวเองด้วยวิธีการเรียนรู้แบบเดิม ๆ แล้วคุณจะค้นพบว่า “โลกใบนี้ ไม่ยากเกินไปที่จะใช้ชีวิตอยู่”

ทำ ทันที พิจารณาจากสิ่งที่คุณสนใจ เริ่มมองหาคอร์สอบรมสัมมนาที่เพิ่มพูนความรู้ หรือเข้าร่วมกิจกรรมกับชมรมที่คุณสนใจ

6. บริจาคตามกำลัง

สังคมจะมีความสุขได้ ถ้าผู้คนมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน ร่วมส่งเสริมแนวคิดบริจาคตามกำลัง แบ่งปันสู่ผู้ที่ด้อยกว่า เพื่อสังคมที่มีความสุข

“อย่ารอให้พร้อม ถึงคิดบริจาค เพราะเท่าที่ท่านมีอยู่ ก็อาจจะมากเพียงพอสำหรับใครบางคนแล้ว”

ทำทันที หยิบเงิน 1 บาท เตรียมไว้เพื่อหย่อนลงในกล่องบริจาคกล่องแรกที่คุณเจอในวันนี้

นำ บทความมาจาก http://www.ff-mag.com/content/blogcategory/14/56/lang,utf-8/

6 ขั้นตอนสู่อิสรภาพทางการเงิน





The 6 Steps to Financial Freedom

1) จัดทำบัญชี และงบการเงิน

การ เดินทางสู่อิสรภาพทางการเงินก็เหมือนกันกับการเดินทางทั่วไปที่ต้องมีแผนที่ นำทาง ดังนั้นก่อนจะเริ่มเดินทาง คุณเองควรจะรู้ก่อนว่า ปัจจุบันคุณอยู่ ณ จุดไหนของคำว่า “อิสรภาพทางการเงิน”

ลองจัดทำงบการเงิน

2) ตั้งเป้าหมาย และวางแผน

เริ่ม ต้นจากอิสรภาพทางการเงินขั้นพื้นฐาน 6 ประการ คือ
• เศรษฐกิจพอเพียง
• เก็บ 10 เปอร์เซ็นต์ (ของรายรับทั้งหมด)
• สำรองเงินไว้ใช้จ่าย (อย่างน้อย 6 เดือน)
• ประกันชีวิต สุขภาพ และอุบัติเหตุ
• เรียนรู้ตลอดชีวิต
• บริจาคตามกำลัง

ลองพิจารณาดูว่าชีวิตของ ท่านบรรลุเป้าหมายพื้นฐานในแต่ละข้อข้างต้นหรือยัง ถ้ายังให้กำหนดหัวข้อเหล่านี้เป็นเป้าหมาย ที่สำคัญต้องกำหนดวิธีการ กรอบเวลา รวมถึงประเมินภาพในอนาคตไว้ด้วย

ส่วนใครที่มีอิสรภาพการ เงินขั้นพื้นฐานแล้ว ก็อาจตั้งเป้าหมายที่สูงขึ้นไปได้ ไม่ว่ากัน

3) ลงทุนในการเรียนรู้

“High Understanding, High Returns” ยิ่งคุณเข้าใจธุรกิจที่คุณลงทุนมากเท่าไหร่ คุณก็จะสามารถสร้างกำไรจากมันได้มากเท่านั้น จงเรียนรู้ให้หนักขึ้น เพื่อจำกัดความเสี่ยงทั้งมวลที่อาจจะเกิดขึ้น โลกไม่ได้ยากเย็นอย่างที่เราคิด แต่ที่ใครหลายคนคิดว่ามันยาก เพราะเขาเหล่านั้นไม่เคยแบ่งเวลามาสนใจใยดีกับมันต่างหาก

จงแบ่ง เวลาให้กับการเรียนรู้ทุกรูปแบบ อย่าจำกัดเฉพาะแต่ในห้องเรียน จงมองโลกให้กว้างเพื่อที่ท่านจะได้เห็นโอกาสที่ซ่อนอยู่อีกมากมายบนโลกใบนี้

เราลงทุนในการเรียนรู้ด้วยอะไรบ้าง ?

เวลา
นี่คือสิ่งสำคัญที่สุดที่คุณต้อง พิจารณา ปัจจุบันคุณให้เวลากับการเรียนรู้สักแค่ไหน ถ้าคิดว่ายังน้อยไป จัดแบ่งเวลาในการเรียนรู้ให้มากขึ้น แล้วคุณจะได้รับมากขึ้น

ความคิด
คนสองคนนั่งเรียนคอร์สเดียวกัน คนหนึ่งเอากลับมาคิดต่อยอดไปสู่การกระทำ อีกคนได้แค่นั่งดีใจว่ารู้แล้ว ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับสองคนนี้ต่างกันมหาศาล

สายสัมพันธ์
การลงทุนใน สายสัมพันธ์ ก็สามารถสร้างการเรียนรู้ได้อย่างมากมาย คนหลายคนมักคบหา หรือคิดถึงคนอื่นยามที่ตัวเองเดือดร้อนเท่านั้น เรียนรู้ที่จะใช้เวลากับผู้อื่น แบ่งปันความรู้ ความคิด ความช่วยเหลือให้กับคนรอบข้างโดยเฉพาะคนที่แตกต่างจากคุณ เพราะมันจะช่วยให้โลกของคุณกว้างขึ้น ไม่เพียงแค่ความรู้ แต่มันคือโลกแห่งความรัก และความเอื้ออาทรกัน สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ เงินก็ซื้อหาไม่ได้

ความรู้
เข้า ร่วมทำงานกับองค์กร หรือชมรมที่ท่านสนใจ เพื่อสร้างโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน อันจะก่อให้เกิดบูรณาการทางความรู้และความคิดได้เป็นอย่างดี

การตั้งคำถาม
คำถามที่ดีเป็นการสร้าง โจทย์ที่ยอดเยี่ยมให้แก่ชีวิต ในทางตรงกันข้าม คำถามแย่ ๆ ก็ทำให้คุณเป็นคนในด้านตรงกันข้ามได้เช่นกัน

ลองพิจารณาคำถามต่อไป นี้
ทำไม เราไม่เกิดมารวยเหมือนคนอื่นบ้าง
ทำไม เราไม่โชคดีเหมือนคนอื่นเขาบ้าง

เริ่ม ต้นใหม่ ตั้งคำถามที่ดีให้กับตัวเอง แล้วคุณจะได้คำตอบที่ดีกลับคืนมา

ฉันจะประสบความสำเร็จในชีวิตก่อนอายุ 35 ปี ได้อย่างไร

คำถามใหม่ ๆ จะนำคุณไปสู่การลงทุนครั้งใหม่ในชีวิต จงใช้ชีวิตกับคำถามใหม่ ๆ เลิกถามคำถามเก่า ๆ

“หุ้นตัวไหนน่าซื้อ”
“กู้ เงินแบงค์ไหน ดอกเบี้ยต่ำสุด”
“มีเงินเก็บ 50,000 ทำธุรกิจอะไรดี”

“สิ่ง ที่คุณถาม คือ สิ่งที่คุณจะได้รับ”

• อื่น ๆ อีกมากมาย (ลองคิดต่อเองนะครับ)

4) แวดล้อมตัวคุณ ด้วยคนที่คิดแบบเดียวกัน

คนเราเป็นไปตามสภาวะแวดล้อม เสมอ อิสรภาพทางการเงิน เกิดได้ทันทีที่คุณเป็นผู้เลือกกระทำ ดังนั้น จงเลือกสภาวะแวดล้อมที่จะพาชีวิตคุณไปในทางที่ดี

5. ลงมือปฏิบัติ บันทึกผล

“บิดาของ ความสำเร็จ คือ การกระทำ” คำพูดนี้ยังคงเป็นสิ่งที่เป็นจริงเสมอ

ลง มือปฏิบัติตามแผนงานที่กำหนดไว้ จดรายละเอียดของทุกการกระทำสำคัญ ๆ ไว้ เพื่อเปรียบเทียบ และปรับแก้แผนงานสู่อิสรภาพทางการเงิน

6. ทบทวน

ตรวจสอบผลการปฏิบัติ กับแผนที่วางไว้ ว่าเป็นไปตามแผนแค่ไหน ต้องปรับแก้อะไร ในขั้นตอนนี้อาจปรึกษาผู้ประสบความสำเร็จเพื่อช่วยทบทวน และให้คำแนะนำในการปฏิบัติที่ถูกต้องต่อไป

หัวข้ออะไรบ้างที่ต้อง ทบทวน

ความคิด
สิ่งนี้ เป็นสิ่งที่ต้องตรวจสอบตลอดเวลา หมั่นคอยเช็คและตรวจสอบความคิดของเราถูกต้อง หรือสอดคล้องกับแนวทางสู่อิสรภาพทางการเงิน หรือไม่

จิตใจ
ตรวจสอบจิตใจทั้งก่อนและหลังตัดสิน ใจใช้จ่าย หรือลงทุน จำเอาไว้ว่า การลงทุนที่ทำให้คุณรู้สึกไม่มีความสุขตั้งแต่ใส่เงินลงไป นั่นก็ถือว่า ขาดทุน เรียบร้อยแล้ว

งบการเงิน
ตรวจ สอบแผนที่ทุกครั้ง โดยอาจทำเป็นประจำทุกเดือน เพื่อคอยตรวจสอบว่า เราเดินออกนอกลู่นอกทางหรือเปล่า หรือเราเข้าใกล้อิสรภาพทางการเงินเพียงใด

เริ่ม ต้นตรวจสอบตัวเอง จัดทำบัญชี และวางแผนสู่อิสรภาพทางการเงินตั้งแต่วันนี้ อย่าผัดวันประกันพรุ่ง จงจำเอาไว้ว่า “อิสรภาพทาง การเงิน เริ่มต้นจากก้าวเล็ก ๆ ของทุก ๆ คน



8 นิสัยช่วยให้เป็น 'เศรษฐีเงินล้าน'!!



"พฤติกรรม" และ "นิสัย" เป็นส่วนผสมที่ทำให้คุณเป็น"เศรษฐี"ได้ แต่ในเวลาเดียวกันพฤติกรรมและนิสัยบางอย่าง ก็บันดาล "ความยากจน" ให้กับคุณได้เหมือนกัน

หากคุณลองหมั่นสังเกตนิสัยของบรรดาเศรษฐี ทั้งที่อยู่รอบตัวเราและที่อยู่ห่างตัวหน่อย ก็จะเห็นว่าพวกเขามีลักษณะนิสัยที่คล้ายๆ กัน อาจจะมีรายละเอียดบางอย่างที่แตกต่างกันบ้าง แต่โดยรวมจะค่อนไปในทางละม้ายคล้ายกัน

ในทางตรงกันข้ามพวกที่ไม่เคย ถูกเรียกว่าเศรษฐี ก็มักจะมีนิสัยที่ถอดแบบกันมาเช่นกันทั้ง ฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อ เกินตัว

ไม่ใช่นิสัยหรือพฤติกรรมทุกอย่างของคนเรา ที่จะหนุนนำให้ทุกคนขึ้นบัลลังก์ของเศรษฐีได้ เวบไซต์เอ็มเอ็มแฮบบิทส์ดอทคอม ได้นำเสนอบทความเกี่ยวกับ "8 นิสัยที่จะช่วยให้คุณเป็นเศรษฐีเงินล้าน" ลองสำรวจตัวเองดู บางทีคุณอาจจะมีนิสัยเหล่านี้ซ่อนอยู่ในตัวอยู่แล้วก็ได้

บางคนอาจ จะไม่มีเลย แต่ไม่เป็นไร นิสัยเหล่านี้สร้างและบ่มเพาะกันได้ หรือบางคนอาจจะแค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนิดหน่อย แล้วนำนิสัยเหล่านี้มาประยุกต์ใช้อย่างไม่ยากเย็น

ลักษณะนิสัยทั้ง 8 ข้อจากนี้ไป เป็นเหมือนกฎขั้นพื้นฐานที่เศรษฐีเงินล้านส่วนใหญ่ทั่วโลกยึดถือและปฏิบัติ เพื่อสร้างรายได้ให้กับตัวเอง ซึ่งคนไทยทั่วไปสามารถนำไปใช้เป็นแบบอย่าง ช่วยให้ตัวเองเป็นเศรษฐีเงินล้านได้ ด้วยหนึ่งสมองและสองมือสองขาของเรานี่เอง

1.หา เงินไว้ลงทุน..ไม่ใช่เพื่อใช้จ่าย

ใครก็ตามที่มุ่งมั่น และตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะร่ำรวยเงินทอง เพราะคนที่หาเงินได้มาก ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นเจ้าของคำว่า "เศรษฐี"

เพราะบางคนหาได้เงินมากก็ใช้จ่ายมาก บางคนทำมาหากินแทบตาย แต่ต้องเอามาใช้หนี้สินที่ติดตัวอยู่

แต่สำหรับคนที่เป็นเศรษฐี จะมีนิสัยที่ค่อนข้างชัดเจนคือ เมื่อได้เงินมาก็จะนำไปต่อยอดการลงทุน เข้าตำราหาเงินไว้เพื่อลงทุน ไม่ใช่เพื่อใช้จ่าย

"คนส่วนใหญ่ทำงาน หนัก เพื่อชำระหนี้บัตรเครดิต และบำเรอความสุขให้กับชีวิตตัวเอง แต่กลุ่มคนมีเงินตระหนักว่า ถ้านำเงินก้อนที่มีอยู่ไปต่อยอดให้ออกดอกออกผลเพิ่มความมั่งคั่งให้กับตัว เองน่าจะดีกว่า" เวบไซต์เอ็มเอ็มแฮบบิทส์ให้ทัศนะ

"วิเชฐ ตันติวานิช" กรรมการผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ MAI เห็นด้วยกับนิสัยนี้ เพราะมีคนจำนวนมากที่มีรายได้เยอะ แต่เมื่อมีมากใช้มากก็ไม่มีทางที่จะเป็นเศรษฐีได้ แต่คนที่เป็นเศรษฐีก็มักจะมีนิสัยที่ต่างออกไป เมื่อมีรายได้เข้ามา แทนที่จะโหมใช้จ่าย พวกเขาจะนำเงินไปต่อยอดลงทุนเพื่อให้เงินออกดอกออกผล

2.มีแผนและทำตามแผน

เศรษฐีเงิน ล้านที่รวยได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง ไม่ได้ร่ำรวยเพราะความบังเอิญ ส่วนหนึ่งนั่นเพราะพวกเขามีนิสัยที่มีแผนและลงมือปฏิบัติตามแผน ซึ่งนั่นเป็นแรงผลักดันที่ช่วยพวกเขาให้เดินสู่ความรวย

"การวาง แผนและทำตามแผนนำพวกเขาสู่จุดหมาย นั่นคือการลงทุนและสั่งสมความมั่งคั่งไว้ตลอดชีวิต" เวบไซต์เอ็มเอ็มแฮบบิทส์ให้ทัศนะ

"ดารบุษป์ ปภาพจน์" ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาธุรกิจและการตลาด 2 บลจ.กรุงไทย มองว่า เรื่องสำคัญอย่างหนึ่งซึ่งมือใหม่หัดลงทุนมักจะละเลยไป คือการทำตามแผนที่วางไว้โดยเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลยุทธ์ “ออมเงินก่อน” หรือ Pay Yourself First โดยการหักเงินออมออกจากบัญชีเงินเดือนทันทีที่เงินเดือนออก ก่อนที่จะนำเงินไปใช้จ่ายอย่างอื่น เพราะแผนที่วางไว้อย่างสวยหรูนั้น จะไม่มีประโยชน์เลย หากไม่มีการนำมาปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง

การมี วินัยในแผนลงทุนนั้นยังรวมถึง ผู้ลงทุนที่เลือกการลงทุน โดยใช้กลยุทธ์เฉลี่ยต้นทุน (Dollar Cost Averaging) ด้วยการลงทุนเป็นประจำด้วยจำนวนเงินที่เท่ากัน ผู้ลงทุนควรมีวินัย ไม่หวั่นไหวไปกับการขึ้นลงของภาวะตลาด โดยอาจใช้ร่วมกับแผนการลงทุนอัตโนมัติที่บริษัทจัดการต่างๆ มีไว้บริการ ซึ่งช่วยประหยัดทั้งเวลา และลดความวุ่นวายใจไปได้มากทีเดียว

วิเชฐ เห็นด้วยกับข้อนี้ ทุกคนคิดและวางแผนการเงินการลงทุนได้ว่าจะทำโน่นนี่นั่น แต่ไม่ใช่ทุกคนที่วางแผนแล้วจะปฏิบัติหรือลงมือทำตามแผน ฉะนั้น ใครก็ตามที่วางแผนทางการเงินให้ตัวเอง แล้วเดินตามแผนก็มักจะมีแววที่จะเป็นเศรษฐี

3.ทำ งานหาเงินให้มากขึ้น

ความหมายข้อนี้ดูเหมือนชัดเจน เพราะกลุ่มคนมั่งคั่งมักจะพากันแสวงหาหนทาง ที่จะสร้างหรือหารายได้ให้ไหลมาเทมาอย่างต่อเนื่องอย่างไม่มีวันหยุด ด้วยการเพิ่มจำนวนเงิน ให้ทำงานออกดอกออกผลให้พวกเขาได้มากขึ้น

นี่ คือนิสัยประจำตัวของบรรดาเศรษฐี จะสังเกตเห็นได้ว่า ยิ่งร่ำรวยอยู่แล้ว ยิ่งไม่หยุดทำงาน ยิ่งมั่งคั่งอยู่แล้ว ยิ่งหาทางต่อยอดการลงทุนให้มั่งคั่งยิ่งขึ้น

เรื่องนี้วิเชฐตั้งข้อ สังเกตว่า คนที่มีเงินทองหรือร่ำรวยในระดับหนึ่งแล้ว พวกเขามักไม่เก็บเงินเอาไว้อย่างเดียว แต่หาช่องทางเพื่อขยับขยายความรวย ซึ่งเมื่อถึงจุดนี้เขามักจะให้เงินทำงานช่วยอีกแรง เรียกว่าทำเงินได้ 2 เด้ง

4.เข้าใจฐานะการเงินของตัวเอง

กลุ่ม คนที่มีความมั่งคั่งต่างตื่นตัวกับการรับรู้รายได้ในบัญชีส่วนตัว และรู้ว่าการไหลเวียนของเงินที่ไหลเข้าออกในบัญชีมีเท่าไร ตรงนี้จะเห็นได้ชัดว่าต่างจากคนที่ยังไม่ได้เป็นเศรษฐี ที่มักจะไม่ค่อยสนใจและใส่ใจในฐานะการเงินของตัวเองซักเท่าไร

บางคน ยิ่งไปกว่านั้น เพราะปล่อยให้หนี้ท่วม นอกจากไม่ได้จัดระเบียบหนี้แล้ว ที่ร้ายกว่านั้นคือแทบไม่รู้เลยว่าหนี้ของตัวเองเบ็ดเสร็จแล้วมีเท่าไร

เรื่อง นี้ดารบุษป์บอกว่าก่อนที่จะทำสิ่งใดให้ประสบความสำเร็จ เราจะต้องมีการวางแผนรู้เขา รู้เรา ซึ่งการวางแผนการลงทุนก็ไม่ต่างกัน การเข้าใจฐานะการเงินของตนเองให้ถ่องแท้ เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะมิเช่นนั้นแล้ว ก็จะเหมือนการขับรถทางไกลโดยไม่เตรียมความพร้อม ไม่ได้เช็คเครื่อง หม้อน้ำ ปริมาณน้ำมัน ไม่รู้ว่ากำลังเครื่องยนต์ของรถนั้นมีมากน้อยเพียงใด สามารถขึ้นเขา ลุยโคลนได้หรือไม่

ซึ่งการละเลยไม่เข้าใจตนเองเช่นนี้ ก็มีแต่จะจะทำให้เราประสบปัญหาและอุปสรรคระหว่างทาง ต้องเสียเวลามากกว่าที่ควรเพื่อจะบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ หรือบางทีก็อาจหมดกำลังใจไปก่อนที่จะถึงเป้าหมาย

"ก่อนจะเริ่มต้น วางแผนการเงินนั้น เราจะต้องรู้ว่ารายรับของเรานั้นมีความสม่ำเสมอแค่ไหน มีส่วนเกินกว่ารายจ่ายหรือไม่ รวมถึงมีการกันเงินเผื่อสำหรับค่าใช้จ่ายฉุกเฉินเพียงพอที่จะทำให้ไม่มีความ จำเป็นต้องพึ่งเงินที่ตั้งใจเก็บไว้เพื่อการลงทุนระยะยาว ซึ่งหากเราละเลยขั้นตอนนี้ไป ก็ยากที่จะถึงเป้าหมายได้ "

วิเชฐ เสริมว่า คนที่เป็นเศรษฐีมักจะมีนิสัยใส่ใจในเรื่องเงินทองอยู่แล้ว ทั้งรายรับรายจ่ายทำใส่เอ็กเซลชีทเอาไว้ ส่วนคนที่ยังไม่ได้เป็นเศรษฐี ควรจะทำอย่างยิ่ง นี่เป็นบันไดก้าวหนึ่งที่จะนำคุณไปเป็นเศรษฐีได้

5.กล้ารับความเสี่ยงอย่างเหมาะสม

เวบไซต์ เอ็มเอ็มแฮบบิทส์ดอทคอมบอกไว้ว่า การเป็นผู้กล้ารับความเสี่ยง เป็นสิ่งต้องทำเพื่อเพิ่มความรวยให้ตัวเอง หากไม่เข้าไปฉวยโอกาสบางครั้ง เงินที่มีอยู่จะไม่มีโอกาสงอกเงย แต่เหนืออื่นใด ต้องเป็นความเสี่ยงที่คุณรับได้ และต้องมีการวางกลยุทธ์อย่างดีเพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงที่เกิดจากภาวะ ตลาดตกต่ำหรือช่วงขาลง

ข้อนี้ วิเชฐมองว่า คนที่จะเป็นเศรษฐีได้ พวกเขามักรู้ว่าความเสี่ยงคืออะไร ประเมินได้ว่าความเสี่ยงมันใหญ่ขนาดไหน และตัวเขาเองสามารถรับความเสี่ยงได้แค่ไหน

"เพราะความเสี่ยงใน ระดับสูง ไม่ใช่ว่าเราไปยุ่งกับมันไม่ได้ คนที่เป็นเศรษฐีได้เขาจะประเมินพละกำลังของตัวเองก่อนว่า ความเสี่ยงแค่นี้ เรารับมือไหวมั้ย เพราะถึงจะเสี่ยงสูง แต่ถ้าเรารับความเสี่ยงไหว เราจัดการกับความเสี่ยงนั้นได้ โอกาสที่จะได้ผลตอบแทนสูงก็มี "

6.มีความอดทนและมีสติซ่อนอยู่ในการลงทุน

สังเกต มั้ยว่าพวกเศรษฐีเงินล้านที่ร่ำรวยจากสองมือสองขากับหนึ่งสมองของตัวเอง ไม่ได้กลายเป็นเศรษฐีเพียงชั่วข้ามคืน แต่เศรษฐีเหล่านี้เข้าใจถึงพลังแห่งดอกเบี้ยทบต้น และความพยายามลงทุนอย่างต่อเนื่องไม่หยุด เพื่อให้ได้ความร่ำรวยเป็นรางวัลตอบแทน

ดารบุษป์เปรียบเปรยให้ฟัง ว่ามีคนเคยเปรียบการลงทุนว่าเหมือนการไต่เทือกเขาสูง ยิ่งเป้าหมายสูงเพียงใด นอกจากต้องเตรียมความพร้อมของอุปกรณ์แล้ว ต้องอาศัยจิตใจที่แข็งแกร่งจึงจะก้าวผ่านหุบเหวที่เป็นอุปสรรคไปได้ การลงทุนก็เช่นกัน ความผันผวนของตลาดหุ้นนั้นเกิดขึ้นมาทุกยุคทุกสมัย มากบ้างน้อยบ้างต่างกันไป ดังนั้น เมื่อนักลงทุนได้แสวงหาเส้นทางการลงทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายของตนเองแล้ว ก็ควรเตรียมใจที่จะพบอุปสรรคที่จะเข้ามา

หากอุปสรรคนั้นเป็นอุปสรรค ที่ประเมินไว้ล่วงหน้าแล้ว เช่น เมื่อตัดสินใจลงทุนในหุ้นของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่อย่างจีน อินเดีย หรือรัสเซีย ซึ่งมีโอกาสรับผลตอบแทนสูง ก็ต้องเผื่อใจสำหรับโอกาสที่จะขาดทุนอย่างมากในบางช่วงเวลาด้วยเช่นกัน

วิ เชฐเสริมว่าอดทนอย่างเดียวไม่พอ สำคัญที่สุดคนที่จะเป็นเศรษฐีได้ต้องมีสติอยู่ตลอดเวลา เพราะคนที่มีสติจะทำให้ตัดสินใจได้ว่าในสถานการณ์นั้นๆ เขาควรตัดสินใจอย่างไร เช่นถ้าภาวะตลาดหุ้นไม่ดี คนที่มีสติก็อาจจะประเมินและตัดสินใจได้ว่า สถานการณ์ย่ำแย่แบบนี้เขาควรจะถอนตัวออกหรืออยู่ต่อเพื่อรอ หรือหาจังหวะเข้าลงทุน

7.ได้ทีมที่ยอดเยี่ยม

กลุ่มคนร่ำรวยยังคงความมั่งคั่ง ของตัวเองไว้ได้ ด้วยผู้คนแวดล้อมซึ่งเป็นที่ปรึกษาการเงินและกฎหมาย ซึ่งล้วนมีฝีมือเป็นเลิศในแวดวงอาชีพนั้นๆ นั่นเป็นประเด็นที่เราเห็นได้ว่าบรรดาเศรษฐีเงินล้านมักไม่เดินหน้าสร้าง ความร่ำรวยโดยลำพัง

"ลองสังเกตดูสิ คนที่เป็นเศรษฐีไม่ใช่ว่าทุกคนเกิดมาท่ามกลางคนที่มีความรู้เรื่องการลงทุน แต่คนเหล่านี้จะพาตัวเองเข้าไปอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่มีความรู้เรื่องการลง ทุน นั่นทำให้เขามีโอกาสได้เรียนรู้แง่มุมและช่องทางต่างๆ ของการลงทุน ว่าอะไรที่จะทำให้เงินทองของเขางอกเงยขึ้น หรือมีวิธีไหนบ้างที่จะทำให้เงินออกดอกออกผล" วิเชฐให้ทัศนะ

8.รับฟัง..กลั่นกรอง...นำไปใช้

นิสัย อีกอย่างหนึ่งที่จะทำให้คุณเป็นเศรษฐีเงินล้านได้ด้วยความสามารถของตัวเอง คือการแสวงหาคำแนะนำจากที่ปรึกษาเชื่อถือไว้ใจได้ เศรษฐีเหล่านี้รับฟังด้วยความมุ่งมั่นมีใจจดจ่อ จากนั้นพวกเขาก็สามารถนำไปปฏิบัติและตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง เพื่อพยายามสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเอง

ดารบุษป์บอกว่าการวางแผน การลงทุนนั้น ถือเป็นส่วนหนึ่งของการวางแผนชีวิต ซึ่งต้องการความมีเหตุผลสูงกว่าการเลือกซื้อข้าวของเครื่องใช้ทั่วไป การฟังเขามาแต่เพียงอย่างเดียว อาจไม่เพียงพอที่จะแน่ใจได้ว่าการลงทุนที่เหมาะกับคนอื่นนั้นจะเหมาะกับตัว เราด้วย เช่น เมื่อฟังเพื่อนๆ พูดถึงผลตอบแทนที่ได้รับ ก็ต้องนำมากลั่นกรองว่าการลงทุนนั้นมีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด ผลตอบแทนที่ว่าสูงนั้นๆ คุ้มค่ากับความเสี่ยงหรือไม่ และตัวเรานั้นมีความพร้อมที่จะรับความเสี่ยงที่ว่านั้นแค่ไหน หรือมีวิธีที่จะลดหรือกระจายความเสี่ยงอย่างไรได้บ้าง โดยอาจต้องศึกษาจากข้อมูลการลงทุนในหนังสือชี้ชวน สอบถามผู้รู้ ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน

วิเชฐเองก็เห็นด้วยว่าคนจะเป็นเศรษฐีได้ เบื้องต้นต้องหัดรับฟังข้อมูล หาข้อมูลการลงทุนให้เยอะเข้าไว้ จากนั้นก็นำมากลั่นกรอง เพราะเมื่อได้ข้อมูลเยอะเราต้องกรอง จากนั้นค่อยนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ในการตัดสินใจลงทุน

"ผมว่านิสัย เหล่านี้เศรษฐีมีทุกคน บางคนข้อมูลเยอะ กลั่นกรองแล้ว แต่ไม่กล้าตัดสินใจที่จะลงทุน คุณก็เป็นได้แค่นักวิเคราะห์ แต่เป็นเศรษฐีไม่ได้" วิเชฐให้ความเห็นทิ้งท้าย

ข้อคิดในการลงทุนในหุ้นของ"กรณ์ จาติกวณิช"



...แนว ทางการลงทุนในหุ้นของ" กรณ์ จาติกวณิช" เคยให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Stock Focus เมื่อครั้งที่เขามีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเงา มิใช่ตัวจริงเสียงจริงอย่างวันนี้ว่า บัญญัติการลงทุน 7 ประการ ที่เขาใช้มาตลอด คือ
1.ต้องลงทุนในบริษัทที่ มีความเชื่อมั่นในตัวผู้บริหาร ถือว่ามีสำคัญไม่น้อยไปกว่าตัว ธุรกิจหลัก เพราะธุรกิจดียังไงถ้าผู้บริหารไม่ยึดประโยชน์ของผู้ถือหุ้นเป็นหลักบริษัท นั้นก็ไปไหนได้ไม่ไกล

2.ต้องคิดเสมอว่า เวลาซื้อหุ้น คือ การซื้อส่วนหนึ่งของกิจการ ไม่ใช่แค่ แผ่นกระดาษ ซึ่งจะทำให้มีทัศนคติที่ถูกต้องกับหุ้นที่ถืออยู่ โดยคิดในเชิงผู้ร่วมทุนมากกว่านักเก็งกำไร

3.ต้อง ไม่หลงรักกับหุ้นที่ถืออยู่ คือ ต้องประเมินในเชิงธุรกิจเสมอ การลงทุนคือ การซื้อการขาย เพราะฉะนั้นถ้าซื้อแล้วหลงรักกับมัน บางทีจะทำให้ขาดเหตุและผลในการตัดสินใจ

4.ทุก วันถือเป็นวันใหม่ ต้นทุนและที่มาไม่สำคัญ

5.ต้องมีวินัยในการยึดหลักความคิดเหล่านี้เป็น สิ่งสำคัญที่สุด

6.ความผันผวนของตลาด เป็นโอกาส ในการลงทุน อย่าไปกลัวตลาดมากเกินไป และอย่าไปเล่นกับตลาดมากเกินไป

และสุดท้าย 7.ต้อง เผื่อการคาดการณ์ที่ผิดพลาดของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องซื้อในราคา ต่ำสุด หรือขายในราคาสูงสุด ประเมินราคาที่เหมาะสมและเราพอใจ

...ปัจจุบัน ประชาชน หรือนักลงทุนส่วนหนึ่งยังขาดความรู้ ความเข้าใจในการลงทุน ดังนั้นการที่จะทำให้คนมีความรู้เพียงพอที่จะประเมินความเสี่ยงให้ถูกต้อง ได้เป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะในช่วงที่ผ่านมาความไม่รู้ในข้อมูลทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เสียประโยชน์ และเสียโอกาสเป็นอย่างมาก

"โอกาสมีให้แก่ทุกคน แต่ความไม่เสมอภาค เพราะระดับความรู้ ความเข้าใจข้อมูลต่างกัน ตรงนี้จึงถือเป็นประเด็นที่ท้าทาย ผมเชื่อว่าถ้าคนรู้มากขึ้น เข้าใจมากขึ้น อะไรที่เคยเข้าใจว่าเป็นความเสี่ยงก็จะกลายเป็นความเสี่ยงที่สามารถ วิเคราะห์ได้ และรับได้มากขึ้น"

ตัดข้อความจากเนื้อความในคอลัม ภ์ บริหารเงินแบบคนดัง (2)

ในคมชัดลึก วันอาทิตย์ที่ 4 มค.2552

หาเงิน...ใช้เงิน

ประโยคนี้ ผมเองได้ยินมาตั้งแต่เป็นเด็กๆ ผู้ใหญ่มักพูดและสอนเสมอว่า"ให้รู้จัก หาเงินและใช้เงิน" แต่ไม่เคยมีใครอธิบาย ความหมายที่แท้จริงของประโยคนี้.ผมเองนั้นก็เข้าใจแต่เข้าใจผิดๆมาตลอด มักเข้าใจว่าเวลาหาเงินได้ เราก็มีสิทธิ์ที่จะใช้เงินนั้นให้ได้มาซึ่งความสุขแก่ตัวเองอย่างเต็มที่ แม้ว่าบางทีเงินส่วนนั้นก็ได้มาอย่างลำบากแลกกับหยาดเหงื่อ แต่ผมก็กลับใช้เงินส่วนนี้ไปกับสิ่งของที่อยากได้ ซึ่งผมก็มีความสุขตอนที่ซื้อมาแล้ว พอหลังจากนั้นก็รู้สึกเฉยๆและแทบจะไม่กลับไปนำสิ่งของชิ้นนั้นมาใช้เลย ผมเริ่มมีของหลายชิ้นที่ได้มาด้วยลักษณะดังกล่าว.ผมพึ่งจะเข้าใจว่าคำว่า "รู้จักใช้เงิน"นั้นไม่ได้หมายถึงการเปลี่ยนเงินให้เป็นความพอใจแบบชั่วคราว แต่หมายถึงการรู้จักใช้เงินอย่างคุ้มค่าและจำเป็น เพื่อที่เราจะเหลือเงินเก็บ เป็นเงินออม เพื่อการลงทุนในวันข้างหน้า ไม่ว่าทุนสำหรับประกอบอาชีพในวันหน้า ทุนการศึกษาระดับปริญญาโทของเราเอง หรือทุนการศึกษาของลูกเราในวันหน้า.แต่ก็ยังไม่สายเกินไปที่ผมจะเริ่มเข้าใจ คำนี้...ผมจะรู้จักหาและใช้เงินตามความหมายจริงๆสักทีครับ

ชัดๆ กับ MLM ที่มีค่าสมาชิกรายเดือน
โดย ชาญวิทย์ จตุวีรพงษ์ เมื่อ 2009-06-08 10:49:45

ก่อนจะเขียนบทความเกี่ยวกับ MLM ต้องออกตัวก่อนว่า ผมไม่เคยทำธุรกิจ MLM แต่ผมเป็นคนวางระบบคอมพิวเตอร์ให้กับสกายไลน์ยูนิตี้ (กิฟฟารีน) เป็นคนเขียนโปรแกรมคำนวนค่าคอมมิชชันให้กับกิฟฟารีน แค่นี้คงพอบอกได้ว่า ผมเข้าใจระบบ MLM ดีนะครับ

การจะทำ MLM ให้ประสบความสำเร็จ คุณต้องเป็นผู้แนะนำ ไม่ใช่เอาแต่ขายอย่างเดียว ต้องหาสายงาน สร้างองค์กรของคุณ ในบทความนี้ผมจะพูดถึงความแตกต่างระหว่าง MLM ที่คุณมีรายได้จากรายจ่ายของสายงานที่คุณแนะนำมา กับ MLM ที่คุณมีรายได้จากรายได้ของสายงานที่คุณแนะนำมา มาดูเปรียบเทียบกันดูครับ

ผมไม่ได้มีอคติกับบริษัทใด ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับใคร ไม่ได้บอกว่าบริษัทเหล่านี้จะไม่จ่าย เขาจ่ายได้ ก็เอาเงินคุณและเงินของสายงานมาจ่ายให้คุณ และไม่ผิดกฎหมายด้วย อ่านจบแล้วคุณจะเลือกทำแบบไหน อย่างไร ก็ตามใจคุณครับ

MLM ที่คุณมีรายได้ จากรายได้ของสายงาน
ตัวอย่างเช่น แอมเวย์, กิฟฟารีน และอื่นๆ ที่ใช้แผนการตลาดแบบขั้นบันใดทั้งหลาย

  • คุณมีรายได้ จากรายได้ของเขา มักจะเป็นแบบทางอ้อม เช่นใช้คำว่ายอดกลุ่ม ยอดทีมกลาง ซึ่งมันคือยอดขายของกลุ่ม ไม่ใช่รายจ่ายของแต่ละคน ใช้กฎการรักษายอด เพื่อให้เกิดยอดขาย ถ้ามันไม่สูงไป ก็ไม่ผิดอะไร ไม่ต้องซื้อไปถมที่ มีบ้างอย่าง reju ที่เป็น auto-ship มันตัดเงิน ส่งของให้คุณทุกเดือน
  • สินค้ามักมี คุณภาพสูงกว่าสินค้าทั่วไป
    มันมาพร้อมกับราคาที่สูงกว่า แม้จะบอกว่าการขายตรงเป็นการตัดคนกลาง ตัดโฆษณาออกไป แต่สินค้าก็ราคาสูงกว่า เพราะต้องจ่ายค่าคอมฯ มีบ้างที่เอาสินค้าในตลาดมาทำ อย่างยูนิลีเวอร์ แต่ราคาก็ไม่ได้ต่ำลงหรอกครับ ที่สำคัญคือต้องเป็นสินค้าที่ใช้แล้วหมดไป เกิดการซื้อซ้ำได้ หลังๆ นี่เห็นมีขายเครื่องใช้ไฟฟ้ากันเลย มันไม่ถูกนัก
  • ไม่มีคำว่ามาก่อน โอกาสดีกว่า
    จะได้มากได้น้อย ขึ้นกับว่าตัวคุณเอง เมื่อถึงจุดหนึ่งก็จะหลุดจากผู้แนะนำ แม้คุณจะไม่เห็น ไม่รู้สึก แต่มันต้องเป็นแบบนี้ เพราะคุณได้มากขึ้น ผู้แนะนำก็ต้องได้น้อยลง บริษัทจ่ายเท่าเดิม

MLM ที่คุณมีรายได้จาก รายจ่ายของสายงาน
ตัวอย่างเช่น พวกเวปให้บริการจ่ายค่าสาธารณูปโภครายเดือนทั้งหลาย, GDI (.ws), .tht, myworldplus, SFI ...

  • มีค่าสมาชิก ทั้งแรกเข้า และรายเดือน
    ส่วนใหญ่แล้วแรกเข้าจะสูงกว่า เพื่อเอาเงินส่วนหนึ่งให้กับบริษัทไป และแต่ละเดือนก็จะแบ่งส่วนให้กับผู้แนะนำ และบริษัท เงินที่คุณได้ก็ไม่ได้ต่างจากคุณขอเก็บเงินจากสายงานของคุณทุกๆ เดือน พอสายงานเอาเงินจ่ายบริษัท บริษัทก็เอาเงินมาจ่ายให้คุณ
  • สินค้าไม่มี คุณภาพ หรือไม่มีค่าจริง
    อย่างพวกส่วนลดค่าน้ำค่าไฟ 5% แต่คุณต้องจ่ายรายเดือนๆ ละ 300 บาท นั่นหมายความว่า ถ้าจะให้มีค่าคุณต้องมีค่าน้ำค่าไฟสูงกว่าเดือนละ 6,000 บาท ไม่งั้นส่วนลดที่ได้ก็ไม่มีค่า มันน้อยกว่าเงินที่คุณจ่ายไป ไอ้จะไปหาคนมาจ่ายค่าไฟกับคุณ ยากครับ หรืออย่าง myworldplus ที่สินค้าเป็นคูปองส่วนลด ซึ่งมันใช้ในเมืองไทยไม่ได้
  • มาก่อนโอกาสดี กว่า
    เพราะสายงานไม่มีทางสลัดหลุดจากคุณ ยังไงเสียทุกเดือนที่เขาจ่ายให้บริษัท คุณก็ได้ส่วนแบ่งจากตรงนั้น หรือบางบริษัทหากมีคนหนึงเลิกทำ คุณจะเสียสายงานใต้คนนั้นไปทั้งหมด

บทความนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ครับ เผยแพร่ได้เพื่อจะได้ไม่ถูกหลอก ไม่เสียเพื่อน โดยใช้ URL http://www.thaiadpoint.com/tap8.1/html/article.php?id=95 จะง่ายที่สุด เพราะหากผมมีการปรับ/เพิ่มเติมอะไร ก็จะได้รับทราบทั่วกัน ไม่ตกหล่น

สุดท้าย หากมีคำถามหรือดูแล้วยังดูไม่ออก ก็ถามกันเข้ามาได้ที่ account@thaiadpoint.com นะครับหรือจะคุยกับผมสดๆ ก็ผ่าน MSN ที่ chanwit_ja@hotmail.com ผมเปิดทุกวันอังคาร ถึงวันเสาร์ เวลา 12.30-13.30 (เวลาประเทศไทย)

บทความที่เกี่ยวข้อง

รู้ได้อย่างไรว่าหลอกลวง - SCAM ?
โดย ชาญวิทย์ จตุวีรพงษ์ เมื่อ 2009-06-02 10:30:46

SCAM มีมานานมาก ย้อนไปถึงศตวรรษที่ 18 เลยทีเดียว ในปี ค.ศ. 1820 ครั้งนั้นชาวสก๊อตนายหนึ่ง ชื่อ Gregor MacGregor หลอกขายที่ดินในประเทศที่ชื่อ Poyais ให้กับคนชั้นสูงในยุโรป ซึ่งมันไม่มีประเทศนี้ในโลก หรือถ้าจะเอาใกล้ตัวเข้ามาหน่อย ก็อย่างในภาพยนต์ Ocean Eleven ลองหาดูกันได้ครับ

ถ้าจะแปลไทยตรงๆ ก็คงเท่ากับคำว่า หลอกลวง หลอกให้เชื่อว่าจริง ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม โดยมากก็ใช้ความโลภของคนนี่แหละครับ ก็เลยมีประโยคที่ว่า อะไรที่มันดีเกินกว่าจะเป็นจริงได้ มันหลอกลวง -- Too Good to be TRUE is SCAM. ผมคงไม่สามารถยกตัวอย่างได้หมด นะครับ ลองอ่านดูแล้วใช้สติคิด ก่อนจะตกเป็นเหยื่อของคนพวกนี้นะครับ ยาวหน่อย แต่อยากให้อ่านครับ

มีคำถาม สงสัยว่าตัวไหนหลอกลวงหรือไม่ ถ้าดูไม่ออกจริงๆ ก็อีเมล์มาถามได้ที่ account@thaiadpoint.com หรือจะเปิด MSN มาคุยกับผมก็เปิดไปที่ chanwit_ja@hotmail.com ผมเปิดทุกวันอังคาร ถึงวันเสาร์ 12.30-13.30 เวลาประเทศไทยครับ

บทความนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ เผยแพร่ได้ แต่ห้ามดัดแปลงแก้ไข จะให้ง่ายที่สุดก็ส่งเป็น URL ให้คลิ๊กไปที่ http://www.thaiadpoint.com/tap8.1/html/article.php?id=91

ตัวอย่าง ที่ 1 คลิ๊กป้ายโฆษณาได้เงินครั้งละ 100 ดอลลาร์
ใช้สตินะครับ ว่าคุณเป็นใครมาจากไหน มีค่าอะไร เพียงแค่คลิ๊กก็ได้เงิน 100 ดอลลาร์ (3400 บาท) ไม่มีใครเขาจ่ายเงินให้คุณง่ายแบบนี้หรอกครับ พวกนี้มักเป็นเวป PTC - paid to click, PTR -paid to read โดยเจ้า ดอลลาร์ ของเขา เป็นสกุลเงินของเขาเอง ต้องเอาเทียบอัตราแลกเปลี่ยนเสียก่อนจึงจะเป็นเงินจริง 100 ดอลลาร์ นี่ก็คิดเป็นเงินจริงแค่ 0.001 USD หรือประมาณ 3 สตางค์

พวกสมัครแล้วได้ 50 ดอลลาร์ หรือพวกที่ส่งอีเมล์มาแล้วให้คุณคลิ๊กไป search พวกนี้ก็หลอกลวงครับ ผู้ลงโฆษณาจับได้ก็เลิก แล้วก็ไปเปิดเวปใหม่ หลอกคนอื่นต่อ

ตัวอย่าง ที่ 2 คุณถูกรางวัลใหญ่ ล๊อตเตอรี่ในต่างประเทศ
พวกนี้มีเยอะครับ โดยจะส่งอีเมล์มาหาคุณ บอกว่าคุณถูกรางวัล ต้องจ่ายเงินเป็นค่าธรรมเนียมส่งเงินรางวัลให้เขาก่อน คิดง่ายๆ ถ้าคุณไม่ซื้อล๊อตเตอรี่แล้วมันจะถูกได้อย่างไร บางอีเมล์อ้างไปไกลว่า เขาสุ่มเลือกอีเมล์ขึ้นมาเลยทีเดียว เรียกว่าอยู่เฉยก็ได้ลาภ ปกติแล้วกติกาการจ่ายรางวัลล๊อตเตอรี่/ล๊อตโต ในแต่ละประเทศ เขาจะจ่ายให้กับคนของประเทศนั้นๆ เพราะเงินมันมาจากคนของเขา เขาต้องการให้มันกลับไปใช้ กลับไปพัฒนาประเทศเขา คุณคนไทย อยู่เมืองไทยก็ถูกได้แต่ล๊อตเตอรี่ของรัฐบาลไทยนีแหละครับ มีบ้างก็กลุ่มประเทศยุโรป ที่ให้หลายประเทศแต่ก็เฉพาะในกลุ่มของเขา ไม่มีประเทศไทยแน่ครับ

สังเกตุง่ายๆ อีเมล์ที่ส่งมาจะใช้ yahoo, gmail, hotmail องค์กรของรัฐที่ไหนจะไปใช้ฟรีอีเมล์ครับ

ตรงนี้ต้องพูดถึง Freelotto นิดหนึ่งครับ ว่ามันจ่ายได้จริง เพราะเขาเอาเงินค่าโฆษณามาจ่าย แต่มันถูกยาก และถ้าถูกคุณไม่ต้องเสียเงินค่าส่งรางวัลอะไร ดูรูปตัวอย่างอีเมล์ที่ถูกรางวัล ในหน้ารีวิว นะครับ ไม่เหมือนไม่ถูก อีเมล์ที่ส่งมาส่วนใหญ่ที่มีรูปเช็ค มีตารางบอกว่าถูก เป็นเพียงอีเมล์แจ้งผลการออกรางวัล และอีเมล์ขายบริการ FAST

ตัวอย่าง ที่ 3 ทำงานที่บ้าน รวย -- work at home
เวลาได้ยินใครพูดถึง work at home หลายๆ คนมักจะนึกถึงงาน MLM ไม่ว่าจะเป็นแบบออนไลน์, ออฟไลน์ ต้องประชุม หรือไม่ต้องประชุมอะไรก็แล้วแต่ ผมเองก็ทำงานที่บ้าน แต่ไม่รวย แค่อยู่ได้ เหลือเก็บบ้าง ผมทำงานที่เรียกว่า Affiliate Marketing แต่พวกนี้มักจะโฆษณาเกินจริง และก็เขียนตัวเล็กท้ายหน้า หรือในนโยบายการให้บริการว่า เป็นความสามารถเฉพาะตัว ไม่รับประกันว่าคุณจะทำได้ ตั้งสติ แล้วย้ำกับตัวเองว่า ไม่มีงานอะไรง่ายๆ ได้เงินเยอะๆ รวยเร็วหรอกครับ

โดยเฉพาะงานที่คุณต้องจ่ายเงินให้เขาก่อน แล้วถึงจะทำงานได้แบบนี้เข้าข่ายหลอกลวงครับ เขาจ้างคุณทำงาน ต้องให้เงินคุณสิครับ ไม่ใช่คุณต้องไปจ่ายเงินให้เขา ถ้าจะจ่ายเป็นค่าสมัคร ค่าธรรมเนียมเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้คงไม่ว่ากัน แต่พวกต้องจ่ายเงินก้อนแล้วค่อยทำได้นี่สิ อย่าไปยุ่งด้วยเลย

อย่างพวกงานที่เห็นบ่อยๆ ก็พวกส่งจดหมาย, ร้อยลูกปัด, งานฝีมือ ซึ่งในเงื่อนไขเขาจะเขียนไว้ตัวเล็กๆ ที่ไม่เคยมีใครอ่านว่า ถ้างานออกมาไม่ถึงเกณฑ์ที่เขากำหนดเขาไม่จ่าย นั่นคือคุณเสียเวลา นั่งทำ เสียค่าส่งกลับไปให้เขา แต่ไม่ได้เงิน แต่เขาได้ของ ได้ชิ้นงาน ซึ่งถึงเกณฑ์หรือไม่ถึง นี่คุณบอกเองไม่ได้หรอกครับ

ตัวอย่าง ที่ 4 ธุรกิจเครือข่าย -- MLM
ในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ธุรกิจเครือข่ายผุดขึ้นมาเยอะครับ ไม่ว่าจะแผนการตลาดแบบไหน ไม่ว่าจะทำออนไลน์หรือออฟไลน์ คุณทำ แต่คนที่รวยจริงๆ คือบริษัท หรือเจ้าของธุรกิจ ไม่ใช่คุณหรอกครับ มันก็มีทั้ง MLM ที่ดี และไม่ดี มีทั้งพวกที่ขายสินค้าจริงๆ ที่ใช้แล้วหมดต้องซื้อใช้ใหม่ กับพวกที่ขายสินค้าประเภทซื้อไปถมที่ ซื้อรักษายอด ไม่รู้จะซื้อไปทำไม ขอให้มีสินค้าเพื่อไม่ให้ผิดกฎหมายเป็นพอ

MLM มันเป็นมากกว่างานขาย งานสร้างองค์กร ด้านหนึ่งมันเป็นการสร้างธุรกิจของคุณ แต่อีกด้านหนึ่งมันเป็นการสร้างความผูกพัน เป็นเพื่อน เป็นพี่น้อง ช่วยเหลือกันในเรื่องต่างๆ เขาช่วยคุณ คุณช่วยเขา

อิสรภาพทางการเงิน อิสรภาพทางเวลา เป็นคำที่ใช้หว่านล้อม ในความเป็นจริงธุรกิจอะไรก็ได้ครับ มันขึ้นกับตัวคุณเองมากกว่า คนทำ MLM มีรายได้เดือนละหกหลัก แต่ไม่มีเวลาให้ครอบครัวเลยมีเยอะไป

อีกคำหนึ่งที่ชอบใช้กันคือ ไม่ใช่งานขาย ไม่ต้องขาย ผิดแน่ครับ มันต้องมีสักคนที่ขาย ไม่คุณก็สายงานของคุณ ไม่งั้นบริษัทจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าคอมมิชชันให้คุณครับ

จุดที่อยากให้พิจารณาคือ MLM ที่ดีนั้น หนึ่งต้องมีสินค้าที่ใช้ได้จริง, สองแผนการตลาดต้องจ่ายอย่างสมเหตสมผล ไม่ใช่จ่ายเกินตัว ประเภทซื้อ 100 จ่ายค่าคอมมิชชัน 120 อยู่ไม่ได้หรอกครับ และสุดท้ายคือมันต้องยุติธรรมกับสมาชิกทุกคน ไม่มีใครมาก่อน มาหลัง มันต้องใครทำใครได้ ไม่มีเสือนอนกินครับ

ขอขยายความข้อสุดท้ายนะครับ MLM หลายๆ ตัวตอนนี้ มักจะให้คุณมีรายได้จากรายจ่าย (ค่าสมาชิก) ของสายงานของคุณ ซึ่งมันไม่ถูกต้องครับ คุณควรจะมีรายได้ จากรายได้ของสายงาน จะกี่เปอร์เซนต์จากยอดเงินที่เขาได้รับก็ว่าไป แต่ไม่ใช่มีรายได้ 100 บาทจากค่าสมาชิกรายเดือน 300 บาทของสายงาน แบบนี้ทำไปก็เสียเพื่อน เพราะมันเหมือนคุณเก็บเงินจากสายงานของคุณทุกเดือนผ่านบริษัท

ตัวอย่าง ที่ 4 ขายสินค้าบนเน็ต รวย สอนได้ลอกได้
พวกนี้จะคล้ายๆ ตัวอย่างที่ 3 แต่จะเน้นสินค้าที่จับต้องไม่ได้ อยู่บนเน็ตอย่างเดียว เช่นส่งอีเมล์, พิมพ์โฆษณา, ขายอีบุค ในความเป็นจริงคือมันรับประกันไม่ได้หรอกครับ ว่าคุณทำแล้วจะรวย ไม่มีทักษะที่ลอกเลียนแล้วรวยได้ 100% เพราะถ้ามีว่าทำแบบนี้ 1-2-3 แล้วรวย ใครๆ ก็รวยกันหมดแล้วครับ

พวกชอบอ้างว่าทำแล้วรวย เอาเช็คระบายดำตรงชื่อ-ที่อยู่มาโชว์ ลองถามกลับไปตรงๆ เลยว่า มีแบบที่ไม่ระบายดำหรือเปล่า มีสำเนายื่นภาษีเงินได้หรือเปล่า ถ้ามีเอามาโชว์เลย และอีกคำถามคือ ไอ้เช็คที่ได้มานะ มันรายได้ หรือกำไร มีรายได้ 100,000 แต่มีต้นทุน 80,000 มันก็กำไรแค่ 20,000 เองนะครับ

พวกขายของไม่ว่าจะ กูเกิ้ล adword, astore ของ amazon, ebay มันเป็นความสามารถเฉพาะตัวครับ ไม่ใช่ทุกคนทำได้ บางคนเสียเงินทั้งค่าหนังสือ ค่าอบรม ค่าโฆษณา แต่ขายของไม่ได้สักชิ้นก็มี ในวันศุกร์วันหนึ่งผมขาย CDpoker ได้กำไร 100 USD ด้วยคีย์เวิร์ดตัวหนึ่ง แต่ลงโฆษณาต่อด้วยคีย์เวิร์ดเดิมในวันเสาร์ ขายไม่ได้เลยสักชิ้น มันมีปัจจัยหลายๆ อย่าง ไม่ใช่อะไรที่จะบอก 1-2-3 ได้ครับ ผมถึงเขียนใน GETPAID ตั้งแต่ย่อหน้าแรกว่า ผมไม่รู้ บอกไม่ได้ว่าคุณจะทำเงินได้เท่าไร มันขึ้นกับตัวคุณเอง ผมบอกได้แต่เงินอยู่ไหน ต้องทำอย่างไร

กลุ่มนี้มักจะเป็นลักษณะที่ให้สิทธิ์ขายต่อ -- Resell Right ตัวอย่างเช่น เขาขายอีบุคให้คุณ 100 บาท แล้วให้สิทธิ์คุณขายต่อได้ จะราคาเท่าไรก็ได้ หรือคุณจะขายให้เขา เขามีหน้าเวปช่วยขายให้คุณใช้ได้ เขาให้ค่าคอมฯ คุณ 80 บาท แต่คุณต้องซื้อเอง 1 เล่มก่อนนะครับจึงจะมีสิทธิ์ขายต่อได้

มันมีคนอยู่ 2 กลุ่มที่ขายของพวกนี้ หนึ่งคือพวกทำการตลาดจริงๆ มองว่าสินค้ามันดี ก็ขายให้ อีกกลุ่มคือถึงเห็นว่าสินค้ามันไม่ได้เรื่อง แต่คิดเสียว่า เราเองถูกหลอกให้ซื้อแล้ว ก็คงจะหลอกขายคนอื่นได้เหมือนกัน ว่าง่ายๆ คงมีคนหลงซื้อเหมือนเราแหละ เราคงไม่ได้โง่ถูกหลอกอยู่คนเดียว

ตัวอย่าง ที่ 5 การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง -- HYIP
HYIP มาจากคำว่า High Yield Investment Program ถ้าจะจำกัดให้ชัดขึ้นก็พวกที่ลงทุน 100 แล้วได้ 110-120 ขึ้นไปต่อเดือน ต่อเดือนครับ ไม่ได้พิมพ์ผิด โดยที่ลงทุนอย่างเดียวไม่ต้องทำอะไร หรือทำอะไรง่ายๆ ที่มันไม่น่าจะเกิดผลลัพธ์ให้ได้กำไรได้

พวกนี้มักจะใช้สคริปต์ที่เรียกว่า autosurf คือเปิดหน้าเวปให้มันแสดงเวปอื่นๆ ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ วันละเท่านั้นเท่านี้ แล้วก็ได้เงิน ถ้าวันไหนไม่เปิดก็ไม่ได้เงิน สรุปว่าผิดกฎหมาย เป็นแชร์ลูกโซ่ ที่เอาเงินคนที่มาทีหลังมาจ่ายคนที่มาก่อน เขาไม่ได้เอาเงินคุณไปลงทุนอะไรจริงๆ หรอกครับ เปิดสักพักก็ปิด แล้วก็ไปเปิดในชื่อใหม่

ตัวอย่างเช่น ลงทุนหน่วยละ 12 USD ได้ผลตอบแทนวันละ 12% นาน 12 วัน เพียงแค่คุณเปิดเวปวันละ 12 หน้าๆ ละ 12 วินาที แนะนำคนอื่นมาลงทุนก็ได้ 12% จากเงินลงทุนของคนที่คุณแนะนำมา ดังนั้นถ้าคุณซื้อ 1 หน่วย 12 USD และเข้าไปเปิดเวปทุกวัน ก็จะได้เงินวันละ 1.44 USD ในวันที่ 12 เขาก็จะจ่ายเงินคืนให้คุณ 17.28 USD หรือเท่ากับ 144% กำไร 44% ครับ

อิสรภาพทางการเงิน อิสรภาพทางเวลา ไม่ใช่งานขาย
โดย ชาญวิทย์ จตุวีรพงษ์ เมื่อ 2009-01-04 17:41:29

เขียนไว้เมื่อ 2007-02-18

เป็นวลียอดนิยม เวลามีคนมแนะนำ MLM ให้กับคุณ หรืออีกอันหนึ่งคือ ไม่ใช่งานขาย ไม่ต้องขายของ ซึ่งในความเป็นจริง 2 ประโยคแรกมันขึ้นกับตัวคุณเอง ส่วนอันสุดท้ายผมบอกได้เลยว่าไม่จริง มันต้องมีใครสักคนขายของบ้างละ ไม่ใช่คุณ ก็เป็นสายงานของคุณ ไม่ขายบริษัทก็ไม่มีเงินเอามาจ่ายค่าคอมฯ

ผมทำงานเป็นผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาระบบอยู่ที่กิฟฟารีน นานกว่า 3 ปี ไม่ได้เป็นสมาชิกนะครับ แต่เป็นคนวางระบบคอมพิวเตอร์ให้ พบเห็นสมาชิกระดับสูง หลายๆ คน อิสรภาพทางการเงิน อาจจะได้ เพราะลำพังรายได้ของเขาแต่ละเดือนก็น่าจะเหลือพอเหลือใช้ แต่อิสรภาพทางเวลานี่ ประเภทไม่ต้องทำงานแล้ว เอาเวลาไปอยู่กับครอบครัว เท่าที่ผมเห็น ไม่เห็นมีใครได้สักคน ผมเห็นแต่เอาครอบครัวมาอยู่กับงาน แต่ถ้าทั้งเขาและครอบครัว มีความสุขในการทำตรงนี้ มันก็ไม่ผิดอะไร ดีซะอีก

เริ่มจากคุณขยันมากเพื่อไปให้ถึงตำแหน่งสูงสุด พอถึงตำแหน่งสูงสุด บริษัทก็จะหาตำแหน่งที่สูงกว่า มีผลตอบแทนที่มากกว่ามาให้คุณก้าวต่อไปอีก คุณไม่ได้หยุดหรอกครับ

ผมเคยคุยกับคนหนึ่ง ตำแหน่งหน้าที่การงานสูงในองค์กรหนึ่ง แต่ก็ยังมาทำ MLM เขาบอกว่า เงินที่ได้จาก MLM มันทำให้เขาไม่ต้องไปกังวลกับเรื่องการเงิน ทำงานบริหารองค์กรใหญ่ๆ แบบนี้ได้เต็มที่ แรกๆ ก็ไม่ค่อยจะเข้าใจ ดูมันจะขัดกัน มันจะเต็มที่ได้ไง ในเมื่อต้องเอาเวลาไปทำ MLM ด้วย

อิสรภาพทางเวลาของแต่ละคน อาจจะไม่เหมือนกัน แต่ประเภทที่มาชวนว่า ทำแล้วอีกหน่อยสบาย ไม่ต้องทำงาน อันนี้เลิกครับ งานนะต้องทำ ยิ่งคนเคยทำงาน วันไหนไม่ได้ทำ คงจะหงุดหงิดน่าดู ผมมีเพื่อนทำแอมเวย์ มันก็ไม่ถึงกับที่เคยได้ยินประเภท เอาแอมเวย์คืนไป เอาเพื่อนของเราคืนมา มันยังคุยเรื่องอื่นๆ ได้ ถ้าคุยเรื่อง MLM ก็เป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ก็เหมือนกับ MLM คนอื่นๆ คือทำตรงนี้ เพื่ออนาคต แต่ในเรื่องเวลา เพื่อนคนนี้ให้แง่มุมที่ดีว่า การให้เวลากับครอบครัว แม้จะน้อยแต่ให้มันเป็นเวลาที่มีคุณภาพก็น่าจะใช้ได้ ผมว่าก็จริงครับ ผมอยู่กับครอบครัวทั้งวัน บางทีเวลาก็ไม่ค่อยจะมีคุณภาพ ประเภทเปิดทีวีให้ดู เปิดคอมพิวเตอร์ให้เล่นเกมส์ อย่างเจ้าตัวเล็กนี่ จับเมาส์เล่นเป็นตั้งแต่ยังไม่ 3 ขวบ

เรื่องไม่ต้องขายของ ถ้าคุณไม่ขาย ลูกทีม/สายงาน ของคุณก็ต้องขาย หรือประเภทไม่ขาย แต่ซื้อไปถมที่ ซื้อรักษายอด เพราะถ้าไม่มียอด บริษัทเขาก็ไม่จ่ายค่าคอมฯ ให้คุณ การจะทำ MLM ให้รุ่ง ต้องดูที่แผนการตลาดของบริษัท ตัวสินค้าเป็นเรื่องรอง (แม้ว่าทุกบริษัทจะบอกว่าสินค้าเป็นหลัก สินค้ามีคุณภาพ มันทำให้คุณขายของได้) เกือบทุกแผนการตลาด ไม่ว่าจะเป็นแบบขั้นบันได แบบไบนารี่ หรือแบบอะไรก็ตามที่พยายามตั้งชื่อกัน บริษัททราบแน่นอนอยู่แล้วว่า ในแต่ละเดือนต้องจ่ายค่าคอมฯ กี่เปอร์เซนต์จากยอดรายได้ มันเป็นคณิตศาสตร์ ดังนั้นสุดท้ายคนที่รวย คือบริษัท คุณได้มากขึ้น ไม่ได้แปลว่าเขาจ่ายมากขึ้น

ธุรกิจเครือข่าย กับ แชร์ลูกโซ่
โดย ชาญวิทย์ จตุวีรพงษ์ เมื่อ 2009-03-02 11:24:14

ในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ ธุรกิจที่จะได้รับความสนใจ และมีแรงกระตุ้น นัยว่าจะเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมง คงไม่หนีไปจากธุรกิจเครือข่าย ไม่ว่าจะชั้นเดียว หลายชั้น สองขา สี่ขา หรืออะไรก็ตาม ด้วยเหตุผลหลักเลยคือ ลงทุนน้อย ได้ผลตอบแทนตามความทุ่มเท ที่ให้ลงไป

แต่ในความสว่าง ก็มีความมืด ถ้าคุณไม่รู้จักความมืด จะรู้ได้อย่างไรว่ามันสว่าง พวกมิฉาชีพที่แทรกตัวอยู่ในวงการเหล่านี้ ก็จะฉวยโอกาสนี้ ดันแชร์ลูกโซ่ เข้าไป บางคนตัวเองพลาดไปร่วมด้วยแล้ว ก็เลยเอาละหลอกคนอื่นต่อ คงมีคนพลาดเหมือนเรา แต่บางคนไม่รู้เลยว่าตัวเองพลาดไปร่วมวงแชร์ลูกโซ่ ก็เลยทุ่มเท หาสายงานยังกับถูกล้างสมองมาว่ามันดี

ขอให้มีสติไว้ คิดอยู่เสมอว่า
อะไรที่มันดีเกินกว่าจะเป็นจริงได้มันหลอกลวง - Too Good to be TRUE is SCAM

ธุรกิจเครือข่าย ผลตอบแทนของคุณต้องมาจาก ยอดในทีมงานของคุณ การหาสายงานคือการสร้างทีมให้ใหญ่ขึ้น ไม่ใช่มีรายได้หลักมาจากการหาสายงาน (ค่าหัวคิว) ยังไงเสียมันก็คืองานขาย ต้องมีใครสักคนที่ขายของ คุณไม่ขาย ทีมงานของคุณก็ต้องขาย มาดูเป็นข้อๆ ไปนะครับ

1. ค่าสมัครสมาชิก - Membership Fee
ต้องไม่สูง มันควรจะเป็นเพียงค่าดำเนินการ เช่นสัก 100-200 บาท นี่ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว
2. โบนัสจากการหาสายงาน - Referral Fee
ข้อนี้ต้องดูหลายๆ อย่างประกอบ สำหรับบางบริษัทเขาใช้มันเป็นแผนการตลาด ที่จะสร้างเครือข่ายขนาดใหญ่ แต่บางบริษัทมันเหมือนค่าหัวคิว ตัวอย่างเช่น
* ถ้าค่าสมัครสมาชิกในข้อ 1 คือ 100 บาท
* ถ้าคุณแนะนำนาย ข. มาสมัคร คุณได้ไปเลย 50-60 บาท แบบนี้เรียกค่าหัวคิว
* แต่ถ้าคุณแนะนำนาย ข. มาสมัคร คุณได้ 50-60 บาทเหมือนกัน แต่มีเงื่อนไขว่า คุณ+ทีมงานของคุณ ต้องมียอดขายรวมกัน 1500 บาท อย่างนี้ผมเรียกว่าแผนการตลาด
* หรือถ้าคุณแนะนำนาย ข. มาสมัคร คุณได้ 10 บาท ผู้แนะนำของคุณได้อีก 10 บาท สูงขึ้นไปสัก 4-5 ชั้น อย่างนี้ผมก็ยังเรียกว่าแผนการตลาด แม้มันจะมีช่องโหว่ให้สร้างทีมแนวดิ่ง เพื่อกินค่าหัวคิวก็ตาม
3. ค่าบริการรายเดือน - Monthly Fee
จะให้ดี มันไม่ควรจะมี เว้นแต่บริษัทเขาให้บริการบางอย่างกับสมาชิก ที่มันมีค่าใช้จ่ายสูงเกินกว่าบริษัทจะให้ใช้บริการฟรีได้ สรุปว่า คุณต้องไม่เสียเงินให้เปล่ากับบริษัททุกๆ เดือน ไม่งั้นมันก็จะกลายเป็นว่า ผลตอบแทนที่คุณได้ ก็คือเงินของคุณ และทีมงานของคุณ มองหน้าทีมงานไม่ติดเปล่าๆ เหมือนหลอกเขามาสมัคร แล้วมาขอเก็บเงินจากเขาทุกๆ เดือน
4. มาก่อนมาหลัง ไม่สำคัญ - Everyone can SUCCEED
ต้องไม่มีสายแรก ต้องไม่มีคำว่ามาก่อนโอกาสดีกว่า ทุกคนโอกาสเท่ากัน ไม่งั้นคุณจะไปหาสายงานได้อย่างไร จะบอกเขาว่า คุณมีโอกาสดีกว่าเขาหรือ
5. ใครทำใครได้ - Pay per Performance
ต้องไม่มีเสือนอนกิน ธุรกิจเครือข่ายใครทำคนนั้นต้องได้ผลตอบแทน ถ้าจะเป็นเสือนอนกิน ก็ไปซื้อหุ้นด้อยสิทธิ์ในบริษัท จะถูกต้องกว่า

ธุรกิจเครือข่ายทุกตัว เจ้าของบริษัทคำนวนไว้หมดแล้วว่า เขาต้องจ่ายเท่าไร กี่เปอร์เซนต์จากยอดรายได้ของเขา ไม่ว่ามันจะใช้แผนการตลาดแบบใด ลองอ่านบทความเรื่อง ทำธุรกิจ MLM แล้วใครรวย ได้ในกลุ่มบทความ MLM นะครับ

มีคำถาม มีความเห็นต่าง หรืออยากเพิ่มเติมอะไร ก็เขียนเข้ามาได้ทางหน้า ถาม-ตอบ นะครับ

เขียนโดย นายชาญวิทย์ จตุวีรพงษ์ (MR.GETPAID)
http://getpaid.thaiadpoint.com

บทความตอนนี้ ผมไม่สงวนลิขสิทธิ์นะครับ เผยแพร่ได้ แต่ห้ามดัดแปลงนะครับ หวังว่ามันจะช่วยให้มีคนไม่ถูกหลอกได้บ้าง สำหรับคนที่กำลังทำอยู่ ก็ลองพิจารณาดูนะครับว่าคุณทำธุรกิจเครือข่าย หรือกำลังทำแชร์ลูกโซ่



บทความที่เกี่ยวข้อง

* อิสรภาพ ทางการเงิน อิสรภาพทางเวลา ไม่ใช่งานขาย

"คลิก" แบบยักษ์ใหญ่

ยิ่งนับวัน "โมเดิร์นเทรด" จะมีหลากหลายรูปแบบและตอบโจทย์วิถีชีวิตของเราได้เป็นอย่างดี ล่าสุดที่กำลังมาแรง เห็นจะไม่พ้น "ซีพี เฟรชมาร์ท" ค่ายเดียวกับเซเว่นอีเลฟเว่น ที่ดูเผินๆ เหมือนจะเป็นคู่แข่งกันเอง แต่เท่าที่ได้คุยกับ "คุณจักรชัย นุชประยูร" ผู้บริหารของ ซีพีเอฟ ที่ดูแล ซีพี เฟรชมาร์ท บอกว่า ทั้ง 2 แห่ง จับลูกค้าคนละกลุ่มเป้าหมาย

เซเว่นอีเลฟเว่น ตอบโจทย์ลูกค้าแบบบุคคลมาคนเดียวซื้อกินเอง แต่ ซีพี เฟรชมาร์ท จับกลุ่มลูกค้าครอบครัว มาคนเดียวแต่ซื้อกลับไปกินกันทั้งครอบครัว

ที่ ผ่านมา ซีพี เฟรชมาร์ท อาจจะยังไม่ค่อยน่าสนใจ เหมือนกับเป็นแค่ร้านขายอาหารสดหน้าปากซอย รูปลักษณ์หน้าตาก็ยังไม่ค่อยสะดุดตาสักเท่าไหร่ แต่แทบไม่น่าเชื่อเพียงไม่กี่ปี กลับผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดและเป็นที่พูดถึงของบรรดาแม่บ้าน มากขึ้นเรื่อยๆ

แห่ง แรกเปิดในปี 2549 มีแค่ 10 สาขาเท่านั้น แต่แค่ 4 ปีให้หลัง เป้าหมายที่ตั้งไว้ก็แตะๆ 1,000 สาขา ไม่ขาดไม่เกิน

แต่ที่ฮือฮาที่ สุด ทำให้ "ซีพี เฟรชมาร์ท" กลายเป็น "ทอล์กออฟเดอะทาวน์" น่าจะเป็นช่วงตรุษจีนที่ผ่านมา ทำให้ทุกคนต้องจับตามอง "ซีพี เฟรชมาร์ท" ชนิดไม่ยอมกะพริบตา เพราะยอดขายสินค้าพุ่งทะลุเป้าที่ตั้งไว้ถึง 3 เท่าตัว

สูตร ความสำเร็จ ก็ไม่ได้ลึกลับซับซ้อนแต่เป็นเพราะสามารถตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการซื้อของไป ไหว้เจ้า ไหว้บรรพบุรุษในเทศกาลตรุษจีนได้อย่างดี แบบมาที่นี่ที่เดียวได้ครบทุกอย่างสะดวกสบายไร้กังวล

"คิดดูซิครับ แต่ก่อน เวลาจะไหว้เจ้าตรุษจีน เดิมเวลาถึงช่วงตรุษจีนคนจะไปซื้อของต้องไปที่ตลาดสดใกล้บ้าน ไปซื้อหมู ซื้อไก่ ซื้อเป็ด บางทีมีของไม่ครบ ต้องตระเวนหาเสียเวลา แต่พอไปที่ ซีพี เฟรชมาร์ท ไปที่เดียวได้ครบทุกอย่างที่อยากได้ ตรงนี้คือคีย์ซัคเซส สำคัญ" ผู้บริหาร ซีพี เฟรชมาร์ท ไขปริศนาความสำเร็จ

ปัจจุบันนี้ ไลฟ์สไตล์หรือวิถีชีวิตของคนกรุงเทพฯ กับต่างจังหวัดคล้ายๆ กัน รูปแบบนี้จึงเป็นที่ต้องการของลูกค้าได้ทุกกลุ่ม

ฉะนั้น อย่าได้แปลกใจที่ปีนี้ ซีพี เฟรชมาร์ท ตั้งเป้ายอดขาย อย่างน้อย 5 พันล้านบาท

แต่กว่าที่จะหาคำตอบ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนในยุคนี้ได้ มิใช่ลอยมากับสายลม เหมือนกับหลายๆ กรณี บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับอินเตอร์อย่างนี้ต้องใช้หลักวิชาการมาช่วยหาคำตอบ จึงมีการทำสำรวจทั้งเชิงลึกและเชิงกว้างแบบละเอียดยิบว่าความต้องการของผู้ บริโภคเป็นแบบไหน เขาต้องการอะไร

ผู้บริหาร ซีพี เฟรชมาร์ท เล่าให้ฟังว่า แค่ว่าจะผลิตอาหารมาสักอย่างก็ต้องสมมติรายการอาหารหลายๆ อย่าง หลายๆ รายการ แล้วมาทำการสำรวจ ดูว่าผู้บริโภคต้องการแบบไหน อย่างคิดจะขายข้าวผัด กำหนดรายการข้าวผัดหลายๆ อย่าง มีข้าวผัดปู ข้าวผัดกุ้ง ข้าวผัดแฮม ราวๆ 5-6 รายการ ให้กลุ่มเป้าหมายเลือก ในที่นี้คือเด็กๆ

แต่แทบไม่น่าเชื่อ ข้าวผัดแฮม เป็นรายการที่เด็กๆ เลือกมากที่สุด ตอนแรกๆ ทางผู้บริหารเดาว่าน่าจะเป็นรายการข้าวผัดปู ที่ผู้บริโภคต้องการมากที่สุด เรียกว่าผลที่ออกมาเดาคนละเรื่องกันเลย

หรือ อีกตัวอย่าง ตอนแรกผู้บริหารคิดจะทำผัดกะเพรา แต่พอทำการสำรวจ ปรากฏว่าสปาเกตตี้ คาโบนาร่า มาเป็นอันดับหนึ่ง แซงหน้า ผัดกะเพรา ชนิดไม่เห็นฝุ่น

วิธีคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์ ด้วยการทำวิจัย เป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุด จากตัวอย่างที่เล่าสู่กันฟังตอนต้น หากเราใช้ความรู้สึกก็อาจจะคิดไปเองว่าลูกค้าต้องการผัดกะเพรา ต้องการข้าวผัดปู แต่ผลสำรวจออกมาปรากฏว่าลูกค้าอยากได้สปาเกตตี้ คาโบนาร่า และข้าวผัดแฮมมากกว่า

หากคิดเองก็ไม่ตอบโจทย์ลูกค้า

แต่ วิธีการอย่างนี้ บริษัทใหญ่ๆ ทำได้ อย่าง ซีพี เฟรชมาร์ท ถึงขั้นจ้างบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านการวิจัยระดับโลกมาทำการสำรวจทั้ง เชิงลึกและเชิงกว้าง แบบที่เรียกว่าละเอียดยิบ ดังนั้น การคิดนอกกรอบ บางครั้งต้องอาศัยฐานข้อมูลมาประกอบด้วย

ล่าสุด ซีพี เฟรชมาร์ท กำลังคิดจะทำลูกชิ้นปิ้งไม่เสียบไม้ เพราะมองเห็นโอกาสทางการตลาด ปกติลูกชิ้นปิ้งที่เสียบไม้เวลาเด็กกินอาจทิ่มปากเป็นอันตรายได้ และบางทีไม้ที่เสียบก็ขึ้นรา ก็เลยคิดทำลูกชิ้นแบบไม่เสียบไม้ ทำใส่ถุงแล้วเข้าเวฟได้เลย

ตรงนี้กำลังจะกลายเป็นคอนเซ็ปต์ นั่นคือ "เวฟแอนด์โก"

ตรงนี้อาจจะไม่ต้องทำวิจัย แต่ต้องเป็นคนรู้จักสังเกต ต้องคิดต่าง ก็น่าจะทำได้ อย่างเคยมีลูกค้าศูนย์อาชีพและธุรกิจ มติชน มาเรียนทำหมูปิ้ง ตอนที่เรียน รูปแบบหมูปิ้งที่วิทยากรสอน ก็เป็นหมูหมักธรรมดานำมาเสียบไม้ แบบหมูปิ้งทั่วๆ ไป

แต่นักเรียน รายนี้ เอาไปประยุกต์เอาไปต่อยอด แทนที่จะเอาหมูหมักแล้วมาปิ้งแบบเดิม ก็เอาหมูบดมาปั้นๆ แล้วเสียบไม้ปิ้งออกมาดูมีเนื้อมีหนัง น่ากินกว่าแบบเดิมเยอะเลย แถมข้าวเหนียวแทนที่จะเป็นข้าวเหนียวธรรมดา ก็เป็นข้าวเหนียวสมุนไพรมีสีสันหลากหลาย ข้าวเหนียวดำ ข้าวเหนียวใบเตย ข้าวเหนียวดอกอัญชัน หลากหลายสีให้ลูกค้าเลือก

ตอนนี้ มีร้านย่อยๆ แบบคีออส กระจายไปตามปั๊มน้ำมัน แถวๆ ชานเมือง

ลองสอบถามก็ทราบว่า ขายดีมากจนเจ้าของกำลังกลายเป็นเศรษฐีย่อยๆ ไปแล้ว

ต่อไปหลายคนอาจจะ ได้เห็นหมูปิ้งที่ไม่ต้องเสียบไม้ เหมือนลูกชิ้นปิ้ง ซีพี เฟรชมาร์ท ก็ได้

ตัด กลับมาที่ ซีพี เฟรชมาร์ท อีกครั้ง แม้ว่าบริษัทจะใช้งานวิจัยสำรวจพฤติกรรมของผู้บริโภค แต่ที่ธุรกิจเติบโตมาได้ ส่วนหนึ่งก็ด้วย "กึ๋น" ของผู้บริหารเป็นหลัก เพราะหลายๆ ครั้ง งานวิจัยสำรวจก็แค่เป็นการ "ตอกย้ำความคิด" ที่ผู้บริหารคิดมาก่อน ให้มั่นใจขึ้นเท่านั้น

อย่างการคิด "บัตรสมาชิก" ที่เป็นแบบเฉพาะตัว อันนี้ก็ถือว่า "คิดนอกกรอบ" เพราะในบัตรสมาชิกจะมีข้อมูลผู้บริโภคแบบละเอียดยิบว่าครอบครัวไหน ชอบกินอะไร ครอบครัวไหนชอบปลา ครอบครัวไหนไม่กินหมู ครอบครัวไหนไม่กินเนื้อ เวลาทำโปรโมชั่นจะได้เจาะจงตรงกลุ่มเป้าหมาย

ตรงนี้ดูเหมือนไม่ใช่ เรื่องสำคัญ แต่ผู้บริหารของ ซีพี เฟรชมาร์ท เล่าว่า บางคนที่เคร่งครัดมากๆ ไม่กินหมู แม้แต่โบรชัวร์สินค้าที่มีรูปเนื้อหมูก็ไม่ยอมให้เข้าบ้าน ก็เลยต้องทำบัตรสมาชิกแยกให้ชัดเจน ไม่ให้ลูกค้าเกิดความหงุดหงิด

แต่ ที่ถือว่าคิดนอกกรอบ และเป็นกรณีที่ท่านผู้อ่าน น่าจะได้ศึกษาไว้เป็นแบบอย่าง วิธีคิดเรื่องการลงทุนของผู้บริหารที่นี่ต่างจากที่อื่นๆ

คือ จะไม่ลงทุนระยะยาว จะไม่เอาเงินไปจมกับที่ดิน ทรัพย์สิน ที่กว่าจะคืนทุนกินเวลานานเป็นปี

แต่ ซีพี เฟรชมาร์ท จะใช้วิธีเช่าแทน เช่าตั้งแต่ ตัวตึก อุปกรณ์ ตู้แช่ จนถึงอุปกรณ์ที่ต้องใช้ทุกอย่างใช้วิธีเช่าหมด วิธีนี้จะสามารถคืนทุนได้ภายใน 6 เดือน เท่านั้น

ส่วนทำเลนั้น เลือกที่อยู่ใกล้โรงเรียน เพราะสินค้าเป็นสินค้าสำหรับเด็กๆ แต่แม่บ้านเป็นคนจ่ายเงิน ตอนนี้สินค้าสำหรับเด็กๆ นอกจากอาหารเช้าประเภท บะหมี่ เกี๊ยวน้ำ และอื่นๆ แล้ว ตอนนี้มีไอศกรีม น้ำส้ม ให้เพื่อดึงเด็กๆ มาเข้าร้าน

วิธีคิดดีๆ อย่างนี้แม้ว่าจะเป็นยักษ์ใหญ่ แต่เราสามารถเอามาปรับใช้ เอามาต่อยอด โดยเลือกเอาวิธีที่เหมาะสม สอดคล้องกับสถานะของเรา ตั้งอยู่กับความเป็นจริง ก็จะเป็นประโยชน์ไม่น้อย

เรียน ลัดจากคนที่ใหญ่กว่า พร้อมกว่า ย่อมดีกว่าเรามาเสียเวลาคลำหาเอาเอง ยิ่งคลำเท่าไหร่ไม่เจอสักที เสียทั้งเวลา เสียทั้งโอกาส

ที่ มา : นิตยสารเส้นทางเศรษฐี

www.diamondholidaytravel.co.cc

http://diamondholidaytravel.hotelclub24.com

ขาย แฟรนไชส์ มีข้อดีอย่างไร.....

ก่อนที่คุณจะเลือกขยายธุรกิจด้วยวิธีการขายแฟรนไชส์ ซึ่งขณะนี้กำลังเป็นที่นิยมของผู้ที่ต้องการเป็นเจ้าของธุรกิจเอง ซึ่งก่อนที่คุณคิดจะขยายกิจการด้วยวิธีนี้ จึงควรที่จะมาศึกษาของข้อดีและข้อเสีย อย่างละเอียดก่อนที่คุณจะลงมือทำ

ข้อดีของการขายแฟรนไชส์

1.ลง ทุนน้อย
ระบบแฟรนไชส์สามารถทำให้คุณขยายธุรกิจได้รวดเร็ว ด้วยเงินทุนที่น้อยนิด ซึ่งถ้าเทียบกับการขยายกิจการด้วยวิธีการอื่นๆ ที่คุณจะเป็นจะต้องมีเงินมาก หรือจำเป็นจะต้องใช้เงินจากการกู้ยืมและเงินที่ลงไปนั้น ยากที่จะดึงกลับคืน กลับมาอีกครั้ง และวิธีไหนที่คุณจะไปเอาเงินมาได้เพื่อขยายกิจการ ซึ่งบางธุรกิจก็เลือกวิธีขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ บางรายก็กู้ยืมเงินจากธนาคาร แต่ธนาคารก็ต้องการหลักทรัพย์ค้ำประกัน ซึ่งกิจการของคุณอาจจะไม่มีหลักทรัพย์ที่เพียงพอ

เรารู้ว่าวิธีเดียว ที่มีประสิทธิภาพที่จะขยายกิจการได้ โดยไม่สูญเสียทรัพย์สิน และการควบคุม ด้วยการขายแฟรนไชส์ แต่คุณต้องตระหนักว่า คุณต้องนำเงินที่คุณได้มาจากกิจการของคุณเองมาใช้จ่ายในการสร้างโปรแกรมแฟรน ไชส์ และการอบรม

2.มีแรงจูงใจมากกว่า
ผู้ที่เป็น เจ้าของธุรกิจทุกคนจะรู้ว่า ผู้จัดการที่เก่งนั้นหายากยิ่งนัก และยากที่จะรักษาเข้าเอาไว้ ถึงแม้ว่าคุณจะให้ผลตอบแทนพิเศษแก่เขาแล้วก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังไม่ได้เป็นเจ้าของอะไรสักอย่าง ทำให้ไม่มีความผูกพันกับงานนั้นจริงๆ

แต่ถ้าคุณขายแฟรนไชส์ คนที่ซื้อไปทำ ไม่ได้เป็นลูกจ้าง แต่พวกเขาควักกระเป๋าของตัวเอง เพื่อเป็นเจ้าของธุรกิจ และลงมือทำมันเอง ซึ่งการทำแฟรนไชส์ก็มีความเสี่ยงเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาก็จะทุ่มเททั้งเวลา และกำลังงานเพื่อทำมันให้สำเร็จ

ซึ่งผู้ขายแฟรนไชส์ จำเป็นจะต้องอบรมแฟรนไชซี่ให้เข้มแข็งยิ่งกว่าผู้จัดการของคุณ บทบาทของคุณประจำวันจะอยู่ในฐานะเหมือนพ่อกับแม่ ที่คอยให้คำปรึกษา แต่ไม่ต้องมีความรับผิดชอบแบวันต่อวัน โดยตรงเหมือนกับการที่คุณมีผู้จัดการ ส่วนมากคนที่ตัดสินใจเลือกขยายธุรกิจด้วยระบบแฟรนไชส์นั้น เพราะสาเหตุ 3 อย่างคือ ประการแรก แฟรนไชซี่ส่วนใหญ่จะเป็นคนท้องถิ่น ที่รู้จักสภาพทำกำไรในการขายสินค้ามากกว่าจากการลดต้นทุนค่าแรงของเจ้าของ กิจการ การรักษาผลประโยชน์เต็มที่ และความสามารถในการสร้างยอดขาย ประการสุดท้ายคือ พวกเขาจะปรับปรุงธุรกิจ ให้เหมาะสมกับความต้องการของชุมชน

3.ขยาย ตัวได้รวดเร็วสมมุติว่าคุณมีคอนเซ็ปท์ที่ดี และมีสินค้าดีเด่น เหนือกว่าคู่แข่งที่เป็นรายใหญ่ คุณจะทำอย่างไรให้แข่งขันได้ ระบบแฟรนไชส์สามารถ ลงทุนน้อยโดยอาศัยเงินทุนของแฟรนไชซี่ เพื่อจะทำให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก สามารถเจาะตลาดได้ก่อน และถ้าหากคุณได้พบแฟรนไชซี่ดีก็เปรียบเสมือนว่าคุณได้พบเหมืองทองแล้ว

4.มี อำนาจซื้อ
เมื่อแฟรนไชส์ของคุณโตขึ้น สินค้าและอุปกรณ์วัตถุดิบต่างๆ จะถูกซื้อจากแฟรนไชซี่ของคุณเป็นจำนวนมาก ทำให้คุณได้รับส่วนลด ซึ่งจะทำให้แฟรนไชซี่ของคุณซื้อสินค้าได้ในราคาที่ถูกลง

การทำ หน้าที่จัดซื้อของผู้ขายจะต้องช่วยให้กลุ่มแฟรนไชซี่ของคุณทำงานได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น ฐานะที่คุณเป็นแฟรนไชส์ คุณจะต้องมีความเสียสละ รายได้ส่วนหนึ่งที่ได้มาจากส่วนลดต่างๆ เหล่านั้น ควรนำมาใช้ในการวิจัย และพัฒนาเทคโนโลยีสิ่งใหม่ๆ สินค้าใหม่ๆ โปรแกรมอบรมใหม่ๆ ที่จะช่วยทำให้แฟรนไชซี่ของคุณได้ประโยชน์ในการสะสมยอดซื้อจำนวนมากของพวก เขา

ในการได้ประโยชน์นอกจากส่วนลดนี้เอง ยังสามารถที่จะดึงมาใช้ในโปรแกรมของการโฆษณาประชาสัมพันธ์ได้อีกด้วย โดยเฉพาะสิ่งแรกที่เร่งด่วนที่จะต้องทำก่อนคือ ให้สาธารณชนจดจำชื่อธุรกิจของคุณให้ได้

5.รายได้เพิ่ม
อย่าง ที่กล่าวไปแล้วว่า ถ้าคุณสามารถขยายสาขาของตัวเองก็ย่อมได้ผลกไรอยู่คนเดียวอย่างเต็มที่ หรือไม่ก็ขาดทุนคนเดียวทั้งหมด และการทำแฟรนไชส์ ไม่มีอะไรที่ได้กำไร และขาดทุนในการเปิดร้าน 1 แห่ง เพราะถ้าแฟรนไชซี่ของคุณทำเงินได้มาก็เป็นเรื่องดี แต่คุณไม่ได้เข้าแชร์ในผลกำไร และขาดทุนของแฟรนไชซี่ของคุณมากนัก โดยปกติแล้วคุณจะได้รับเพียงค่ารอยัลตี้ ที่จ่ายเป็นเปอร์เซ็นต์ตามยอดขายเท่านั้นไม่ได้จากผลกำไรของกิจการ แต่แหล่งรายได้ที่ผู้ขายแฟรนไชส์ได้ จะมาจากสิ่งอื่นคือ

1.ค่าแฟรนไช ฟี
2.ค่ารอยัลตี้ฟี
3.ค่าธรรมเนียมโฆษณา
4.ค่าสินค้า
5.ค่า บริการ
6.ค่าเช่าทรัพย์สิน

ดังนั้นหากคุณคิดที่จะขยายกิจการของคุณ ด้วยการขายแฟรนไชส์นั้น ก็ควรที่จะต้องคิดให้รอบคอบ ทั้งผลได้และผลเสียที่จะตามมา เพราะธุรกิจทุกอย่างก็ล้วนแต่มีความ เสี่ยงทั้งสิ้น
www.diamondholidaytravel.co.cc

www.diamondholidaytravel.co.cc

http://diamondholidaytravel.hotelclub24.com


http://diamondholidaytravel.hotelclub24.com
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์

8 เรื่องที่ควรต้องทราบเกี่ยวกับแฟรนไชส์

มีนาคม 17th, 2010
franchise

franchise

ใครที่สนใจอยากจะมีธุรกิจเป็นของตัวเองหรือต้องการซื้อแฟรนไชส์มาประกอบ ธุรกิจข้อมูลที่เกี่ยวกับแฟรนไชซอเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยในการตัดสินใจและทำ ให้มีข้อผิดพลาดน้อยลงได้
1. ภูมิหลังของแฟรนไชซอ ตรวจสอบชื่อเสียงและประวัติย้อนหลังของแฟรนไชซอในธรกิจที่ทำแฟรนไชส์ (Franchise) ในเรื่องของเอกสารที่แสดงความเป็นเจ้าของสิทธิ์ที่ถูกต้องจากหลักฐานในการจด ทะเบียนพาณิชย์การจดลิขสิทธิ์ที่ถูกต้องจากหลักฐานในการจดทะเบียนพาณิชย์การ จดลิขสิทธิ์ในเครื่องหมายการค้าหรือในกรณีที่ซื้อสินค้าจาก ผู้อื่นมาอีกต่อหนึ่งก็ควรมีหลักฐานแสดงการได้รับอนุญาตเป็นตัวแทนในการ จำหน่ายนอกจากนี้อาจสอบถามเกี่ยวกับเหตุผลหรือแรงจูงใจความมุ่งมั่นในการริ เริ่มกิจการนั้นเพื่อที่จะแน่ใจว่าแฟรนไชซอมีพันธะต่อธุรกิจที่ดำเนินอยู่ อายุของการทำธุรกิจจำนวนสาขาที่เป็นของแฟรนไชซอเองและจำนวนแฟรนไชซี่ที่มี อยู่ในปัจจุบันก็มีความสำคัญเพราะเป็นตัวบอกถึงความสำเร็จและความเชี่ยวชาญ ในธุรกิจนั้นๆร่วมถึงการผ่านประสบการณ์ในการแก้ปัญหาจนสามารถมีข้อสรุปที่นำ มาให้คำแนะนำได้

2. โครงสร้างการบริหารงานการ ศึกษาโครงสร้างการบริหารงานและความรับผิดชอบของแค่ละส่วนงานภายในของแฟรนไช ซอซึ่งจะช่วยให้ผู้ที่สนใจจะซื้อแฟรนไชส์ในอนาคตตัดสินใจได้ว่าบริษัทดัง กล่าวมีการจัดองค์การที่ดีหรือไม่มีพนักงานที่มีประสิทธิภาพหรือไม่หรือมี ทีมงานด้านแฟรนไชส์ที่สามารถให้บริการสนับสนุนอย่างที่ได้ระบุไว้หรือไม่ ซึ่งหากสามารถระบุตัวเจ้าหน้าที่ที่จะต้องติดต่อในการประกอบการแฟรนไชส์ได้ ก็จะเป็นการดีในการตรวจสอบความสามารถของทีมงานและที่สำคัญแฟรนไชส์ที่ดีควร มีระบบงานอย่างเป็นมืออาชีพอย่าง น้อยที่สุดจะต้องมีแผนการอบรมเพื่อถ่ายทอดการทำธุรกิจมีการจัดทำคู่มือการ ปฏิบัติงานในส่วนงานต่างๆ มีสายด่วนให้คำปรึกษาหรืออาจค้นคว้าเกี่ยวกับภูมิหลังของผู้บริหารของบริษัท เพื่อให้แน่ใจว่าบุคคลนั้นมีความน่าเชื่อถือและมีความรับผิดชอบต่อธุรกิจ แฟรนไชส์
3. การเยี่ยมชมบริษัทอาจ ไม่เป็นการเพียงพอที่จะรับฟังหรืออ่านจากสิ่งที่แฟรนไชซอเสนอเท่านั้นการ เยี่ยมชมบริษัทถ้าเป็นไปได้มากกว่าหนึ่งครั้งจะเป็นผลดีอย่างมากเนื่องจาก เราจะสามารถตรวจสอบการจัดการภายในกรจัดการพนักงานและระบบสนับสนุนต่างๆ ทั้งนี้พึงระลึกไว้เสมอว่าควรระมัดระวังแฟรนไชซอที่ไม่อนุญาตให้มีการเยี่ยม ชม
4. การสอบถามจากผู้ที่เป็นแฟรนไชซี่ในปัจจุบันควร ขอรายชื่อและที่อยู่ของผู้ที่เป็นแฟรนไชซี่ของธุรกิจดังกล่าวในปัจจุบันและ หาโอกาสที่จะพบปะพูดคุยกับแต่ละรายให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้อย่างไรก็ ตามควรขออนุญาตจากแฟรนไชซอก่อนเสมอ ทั้งนี้แฟรนไชซี่ที่กำลังประกอบการจะให้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับยอดขายและ กำไรที่คาดว่าจะได้รับอย่างดี
5. การสอบถามจากผู้ที่เป็นแฟรนไชซี่ในอดีตควร สอบถามจากแฟรนไชซอและผู้เคยเป็นแฟรนไชซี่ในอดีตว่าเพราะเหตุใดแฟรนไชซี่ใน อดีตจึงออกจากธุรกิจสาเหตุอาจเกิดจากเหตุผลส่วนตัว หรืออาจจะเกี่ยวข้องกับตัวผลิตภัณฑ์หรือเกี่ยวกับแฟรนไชซอซึ่งจะเป็น ประโยชน์ในการประเมินและเพื่อความแน่ใจในคุณภาพของแฟรนไชซอรายนั้นๆ
6. สถานะทางการเงินและงบดุลของแฟรนไชซอในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ควรประเมินสถานะทางการเงินของแฟรนไชซอ โดยพิจารณาจากงบกำไรขาดทุนและงบดุลของบริษัท และควรตรวจสอบย้อนหลังไปประมาณ 3 ปีซึ่งข้อมูลนี้สามารถขอได้จากแฟรนไชซอโดยตรงและควรสอบถามเกี่ยวกับสาเหตุ ของการขาดทุนที่เกิดขึ้นหรือยอดหนี้สินของบริษัทถ้าหากพบว่าบริษัทประสบ ปัญหาเกี่ยวกับเงินทุนหรือมีการดำเนินธุรกิจบนสัดส่วนของหนี้สินที่สูงอาจ เป็นสัญญาณว่าแฟรนไชซอไม่มีเสถียรภาพทางการเงินเพียงพอ อย่างไรก็ตามถ้าหากมีปัญหาในการทำความเข้าใจสถานะทางการเงิน ควรปรึกษาผู้รู้

7. ส่วนต่าง (margin) สำหรับสินค้าและบริการที่จะต้องจ่าย ควรสอบถามเกี่ยวกับส่วนต่าง (margin) ที่ชัดเจนของค่าสินค้าและบริการที่จะต้องจ่ายให้กับแฟรนไชซอในฐานะผู้ป้อน สินค้าเมื่อเปรียบเทียบกับแฟรนไชซอรายอื่นเพื่อการตัดสินใจทั้งนี้ ข้อมูลที่ได้รับสามารถตรวจสอบกับแฟรนไชซี่ในปัจจุบันของธุรกิจนั้นซึ่งจะ เป็นประโยชน์ในการเตรียมตัวเพื่อทราบกระแสเงินสดในระหว่างที่เริ่มประกอบ กิจการรวมทั้งสามารถเข้าใจผลตอบแทนในอนาคต

8. เงื่อนไขหลักบางประการของข้อตกลงควร ขอรายละเอียดเกี่ยวกับข้อตกลงในสัญญาของแฟรนไชส์และอาจขอให้มีการชี้แจง เงื่อนไขหลักที่สำคัญเช่น ค่าใช้จ่ายต่างๆ เงินรายงวด ระยะเวลาของสัญญาสิทธิ์ในขอบเขตการประกอบการอื่นๆ ทั้งนี้ถ้าหากเป็นไปได้ควรเปรียบเทียบกันระหว่างแฟรนไชส์ในธุรกิจที่คล้าย กันหลายๆ บริษัท


ที่มาบทความ : http://www.franchise108.com

www.diamondholidaytravel.co.cc

http://diamondholidaytravel.hotelclub24.com

อาชีพเสริมเพิ่มรายได้ . . . ทำอะไรดี?



Money

Top Hobbies to make money

ช่วงสภาวะการเงินไม่ดีแบบนี้ ลองแปลงงานอดิเรกของคุณให้เป็นแหล่งทำเงินดูบ้าง คุณจะได้มีรายได้เสริมนอกเหนือจากงานประจำให้กระเป๋าตังค์มีสภาพคล่องขึ้น

ปลูกต้นไม้

บางคนอาจจะคิดว่านี่ไม่ใช่งานอดิเรกที่ทำ เงินสักเท่าไร แต่คุณรู้ไหมว่าต้นไม้กำลังมาแรง หากคุณขยายพันธุ์เก่งๆก็สามารถวางขายหน้าบ้านมีกำไรเข้ามาในบ้านทุกวัน นอกจากนั้นอาจจะวางขายกระถางต้นไม้ ดินปุ๋ย ไว้บ้าง เพราะของหนักพวกนี้คนที่ไม่มีรถจะไม่นิยมเดินทางไปซื้อไกลๆนับว่าคุณเปิด ตลาดในชุมชนบ้านคุณได้ดี

ถ้าไม่ค่อยมีคนอยู่บ้านไม่สะดวกเปิดหน้าร้าน ลองโฆษณาผ่านเว็บไซต์ต้นไม้ และเลือกต้นไม้มีอนาคตไกลอย่าง หน้าวัว ใบ อโกลนีมา หรือไม้ดอกต่างเพื่อขยายพันธุ์ส่งออกได้ด้วยเหมือนกัน

ช่างภาพ+นักเขียน

เพิ่มช่องทางทำเงินด้วยการ ถ่ายภาพ นำมาทำเป็นภาพโปสการ์ดส่งขาย หรือขายรูปในนิตยสารต่างก็ได้ แม้แต่นักเขียนมือสมัครเล่นที่ชอบเล่นบล็อคต่างๆในอินเทอร์เน็ต มาถึงวันนี้ก็เห็นแล้วว่านิยายเรื่องดังได้รับความนิยมในอินเทอร์เน็ตอย่าง สูง จึงนำมาทำเป็นละคร ได้ค่าลิขสิทธิ์เป็นกอบเป็นกำ

แม่ครัวมือหนึ่ง

ถ้าใครเป็นคนมือทอง ต้มผัดแกงทอดทำอะไรก็อร่อย มีโอกาสทำเงินได้มากมายไม่ว่าจะเป็นเปิดบ้านรับสอนทำอาหาร หรือทำอาหารเล็กๆน้อยๆขายในออฟฟิศของคุณก็ได้ ยามที่มีการจัดงาน เช่น น้ำพริก หมูเค็ม ขนมหวาน คุกกี้ ฯลฯ ที่สำคัญถ้าอันไหนเด็ดจริงส่งตามร้านอาหารเลยก็ย่อมได้

งานฝีมือ

ไม่ว่าจะเป็นการถักโครเชต์ นิตติ้ง เพ้นต์แก้ว ปักหมอน ก็สามารถทำเงินให้คุณได้ทั้งนั้น เพียงคุณมีผลงานโชว์ว่าคุณสามารถทำแบบไหนได้บ้าง จัดเป็นแคตตาล็อกลงในอินเทอร์เน็ต หรือบอกเพื่อนๆ ปากต่อปาก ใช้หลักการตลาด ตั้งของโชว์บนโต๊ะทำงานของคุณก็ได้ ถ้างานคุณสวยน่ารักเก๋ไก๋ รับรองว่าเพื่อนๆ ก็อยากได้เป็นเจ้าของทั้งนั้น

ดนตรี

สาวคนไหนสามารถเล่นไวโอลิน แซ็กโซโฟน กีต้าร์ ขิม จะเข้ ฯลฯ จะมีคนจ้างคุณมาขับกล่อมในงานของเขาแน่นอน หากถนัดดนตรีไทยให้ลองสมัครกับทางโรงแรมที่มีแขกต่างชาติเยอะๆ โรงแรมเหล่านี้จะชอบให้คุณเล่นดนตรีสดให้แขกเขาฟัง หรือถ้าถนัดแนวคลาสสิกแจ๊ช ลองลงโฆษณาไว้ที่เว็บไซต์เกี่ยวกับงานแต่งงาน เพราะคู่รักมักต้องการเสียงเพลงหวานๆ สดๆ จากฝีมือของคุณเช่นกัน

คลิกอ่านความคิดเห็นของ เพื่อนๆ ได้ที่นี่ค่ะ


ขอ ขอบคุณข้อมูลจาก

ภาพประกอบทางอิน เทอร์เน็ต
ประจำวันที่ 30 เมษายน พ.ศ.2551

red mango ไอศกรีมเกาหลี อินเทรนด์
คน อ่าน”เดลินิวส์”หลากหลายมาก อาชีพที่เราจะนำมาเสนอเป็นทางเลือก จึงย่อมแตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่แล้วเราพยายามมุ่งเน้นการลงทุนที่งบประมาณไม่มากจนเกินไปนัก อย่างไรก็ดี อาชีพที่นำเสนอในครั้งนี้ แม้งบประมาณตั้งต้นจะค่อนข้างสูง แต่ก็เป็น “ช่องทางทำกิน” ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะกับผู้ที่กำลังมองหาอาชีพที่สอง หรือผู้ที่อยากเป็นเถ้าแก่น้อย หรือเถ้าแก่เนี้ยน้อย ที่พอมีเงินเก็บอยู่บ้าง ด้วยวิธีการซื้อแฟรนไชส์

red mango ไอศกรีมเกาหลี อินเทรนด์
ฐิตินันท์ เกียรติไพบูลย์ หรือ “ก้อย” เป็นลูกสาว สมพล เกียรติไพบูลย์ อดีต ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งสนิทสนมกับนักข่าวสายพาณิชย์เป็นอย่างดี แต่ก้อยมักไม่ยอมบอกชื่อพ่อ จนกว่าจะถาม ตอนนี้อายุ 33 ปี และเป็นเจ้าของธุรกิจไอศกรีมแบรนด์ดังจากเกาหลี ไอศกรีมโยเกิรต์เพื่อสุขภาพ โดยอีกอาชีพหนึ่งก็คือนักกฎหมายของบริษัท Baker& Mc Kenzie ทำ มา 6 ปีแล้ว ลูกความส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนรายใหญ่ ๆ ทั้งชาวไทยและต่างชาติ ทำให้ได้รูปแบบทางธุรกิจเยอะ รวมทั้งทักษะทางกฎหมายสำหรับการลงทุน

การ เป็นคนรุ่นใหม่ ชอบความท้าทายใหม่ ๆ พร้อมเปิดโอกาสตัวเองลองพิสูจน์ความสามารถด้านอื่น ๆ พอดีกับที่พี่ชายอยากให้ช่วยบริหารงานที่มีหุ้นส่วนเป็นคนเกาหลี อิงความแรงของเทรนด์เกาหลีในไทยต่อยอดธุรกิจ จึงได้นำเข้าเครื่องสำอาง Misha เข้ามาก่อน ซึ่งก็ประสบผลสำเร็จ

สำหรับการนำเข้าไอศกรีม “red mango” ก้อยเล่าว่า มีจุดเริ่มต้นจาก มิสเตอร์ รอนนี่ ซู เจ้าของแบรนด์ เปิดสาขาแรกในต่างประเทศที่ L.A. แล้วได้รับการตอบรับดีมาก มีคนดังระดับฮอลลีวู้ดเป็นลูกค้าประจำ เมื่อตนเองไปสำรวจตลาดที่เกาหลี ได้กินไอศกรีมยี่ห้อนี้ เกิดติดใจรสชาติความอร่อย เลยบอกพี่ชายว่าอยากได้แบรนด์ตัวนี้ เมื่อติดต่อไปตอนแรกเค้าไม่ยอมให้ เพราะยังไม่แน่ใจว่าเราจะทำตลาดต่างประเทศได้ จึงเชิญมาดูตลาดไอศกรีมที่เมืองไทย ซึ่งมีทั้งมาจากอิตาลี นิวซีแลนด์ ฯลฯ แต่ยังไม่มีของเกาหลี

“ยุคนี้เป็นช่วงที่กระแสคนรักสุขภาพมาแรงมาก คนหันมาสนใจอาหารสุขภาพ และเริ่มออกกำลังกายไปพร้อม ๆ กัน เจ้าของแบรนด์จึงเห็นโอกาสในการขยายสู่ตลาดในภูมิภาคเอเชีย ตัดสินใจให้ลิขสิทธิ์กับบริษัท KRC (Thailand) จำกัด ที่ก้อยเป็นกรรมการผู้จัดการ ให้เป็นผู้นำเข้า Red Mango แต่เพียงผู้เดียว ซึ่งจุดเด่นอยู่ที่เป็นโยเกิร์ตแบบ Non Fat ทานแล้วไม่อ้วน เหมาะสำหรับคนรักสุขภาพทุกเพศทุกวัย”

red mango ไอศกรีมเกาหลี อินเทรนด์


ก้อย บอกว่า ธุรกิจไอศกรีมบ้านเรายังโตได้สบาย เพราะสภาพอากาศร้อนเกือบทั้งปี และสินค้าที่นำเข้ามา หากเปรียบเทียบคู่แข่งระดับเดียวกัน ยังไม่มี จัดอยู่ในระดับพรีเมี่ยม เน้นคุณภาพ รสชาติที่กลมกล่อม มีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจคือท๊อปปิ้งที่ใส่ เป็นผลไม้สดตามฤดูกาลที่เลือกสรรมาอย่างดี อาทิ กีวี่, แตงโม ,สตรอเบอรี่, แคนตาลูป, ส้มแมนดาริน, สับปะรด และผลไม้กระป๋อง มีลำไย ลิ้นจี่ และธัญพืชประเภทเมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง ของขบเคี้ยว คอนเฟลก และซีเรียล

ผล ไม้ที่สั่งมาจากต่างประเทศอื่นเช่น ถั่วแดงเม็ดเล็ก ลูกพีช เป็นต้น โดยลูกค้าจะเลือกท็อปปิ้งเองตามชอบ ท็อปปิ้งอย่างละ 10 บาท สำหรับท็อปปิ้งยอดนิยมที่มีคนสั่งมากสุดคือ มะม่วง กีวี่ สตรอเบอรี่ ลิ้นจี่ ถั่วแดงเม็ดเล็ก และคอนเฟลก โดยไอศกรีมรสดั้งเดิม เป็นตัวยืนที่ได้รับความนิยม หลังเทศกาลถือศีลกินเจได้เพิ่มรสชาเขียวเข้ามาใหม่

red mango ไอศกรีมเกาหลี อินเทรนด์


ขนาด จำหน่ายของไอศกรีมแบรนด์นี้มี 3 ไซส์คือ ไซส์ SS ราคา 49 บาท, ไซส์ S ราคา 89 บาท, ไซส์ M ราคา139 บาท และไซส์ L ราคา 189 บาท (เป็นถ้วยใหญ่ ลูกค้าชอบสั่งเวลามาหลายคน)

จากความสำเร็จในการดำเนิน ธุรกิจ ทางเจ้าของแบรนด์จึงเปิดให้ผู้ประกอบการไทยเป็นมาสเตอร์แฟรนไชส์ เป็น Exclusive แฟรนไชส์ในไทย โดยรูปแบบของร้านคือเป็นไอศกรีมไขมันต่ำ ที่กินแล้วไม่อ้วน เป็นไอศกรีมผลิตจากโยเกิร์ต มีแลคโตบาซิลลัส และน้ำตาลฟรุตโตสไม่ถึง 0.1%

red mango ไอศกรีมเกาหลี อินเทรนด์


ที่ จะเพิ่มเสน่ห์คือ บรรยากาศของร้านต้องมีมุมสบาย ๆ สะอาดตา สไตล์คลาสสิก และดูสดใส เหมาะสำหรับนัดพูดคุยและพบปะสังสรรค์ โดยผลตอบรับของธุรกิจนี้นับว่าดีมาก ล่าสุดมีทั้งหมด 18 สาขาแล้ว ทั้งนี้ ใคร สนใจต้องการร่วมธุรกิจไอศกรีม red mango ติดต่อสอบถามรายละเอียดเงื่อนไขแฟรนไชส์กับคุณก้อยได้ที่ โทร.0-2685-3121, 08-18021313 หรือดูในเว็บไซต์ www.redmangoThailand.com

กระแส ความนิยมในเรื่องต่าง ๆ นั้น หากรู้จักนำหลักธุรกิจ หลักการประกอบอาชีพ เข้าไปจับได้อย่างเหมาะเจาะ-ถูกจุด ก็จะเกิดเป็นธุรกิจ เป็นอาชีพ ที่ประสบความสำเร็จได้ ซึ่งก็รวมถึงกระแส “เกาหลีฟีเว่อร์” กระแส “ตื่นตัวใส่ใจการกินเพื่อสุขภาพ” เช่นรายที่ทีม “ช่องทางทำกิน” นำเสนอเป็นกรณีศึกษารายนี้



คู่มือลงทุน...ไอศกรีม red mango

ทุนเบื้องต้น 1.5- 2 ล้าน ต้นทุนขึ้นกับขนาดร้าน
ทุนวัตถุดิบ ประมาณ 70% ของราคาขาย
รายได้ ถ้วยละ 49 บาท ถึง 189 บาท
แรงงาน 3-4 คนขึ้นไป
ตลาด ห้างสรรพสินค้า, ย่านช็อปปิ้ง
จุดน่าสนใจ เข้ากระแสเกาหลี-รักสุขภาพ

“ตุ๊กตา” ยุคไหน ๆ ก็ยังเป็นของเล่นยอดนิยมของเด็ก ๆ ทั่วไป และก็ได้มีการคิดทำตุ๊กตารูปแบบใหม่ ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงกับตุ๊กตาแปลก ๆ แหวกแนว ด้วยรูปทรงรูปร่าง และสามารถเด้งดึ๋งดุ๊กดิ๊กไปมาได้ ซึ่งเรียกว่า “ตุ๊กตาไม้โยโย่-ตุ๊กตาล้มลุก” และทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลมานำเสนอให้พิจารณากัน...

ตุ๊กตาไม้โยโย่-ล้มลุก


ฉัตรธิดา เพียรดี เป็นเจ้าของผลงานตุ๊กตาไม้ “ฉัตร ดีไซน์” ดำเนิน ธุรกิจนี้มากว่า 2 ปีแล้ว ก่อนหน้านี้ฉัตรธิดาทำธุรกิจค้าไม้ ขายเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้าน แต่หลัง ๆ เศรษฐกิจไม่ค่อยดี ธุรกิจที่ทำอยู่เริ่มจะไม่ราบรื่น จึงวางมือ และหันมาจับธุรกิจนำเข้า “ตุ๊กตาไม้” แทน ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าตุ๊กตาไม้นี้ไม่ใช่เป็นแค่ของเล่นอย่างเดียว ตกแต่งบ้านก็ได้ และราคาก็ไม่แพง มันแก้โจทย์ที่ว่าจะทำยังไงให้คนซื้อง่าย ๆ และซื้อเป็นของฝากได้

ตุ๊กตาไม้โยโย่ และตุ๊กตาล้มลุก ของฉัตรธิดานำเข้ามาจากประเทศจีน โดยออกแบบไปให้ทางจีนทำตามที่สั่ง ซึ่งจีนจะมีวัสดุ เครื่องไม้เครื่องมือ และเทคโนโลยีที่ทันสมัย ค่าแรงก็ไม่แพงมาก ทำให้ต้นทุนในการผลิตไม่สูง ส่วนไม้ที่นำมาทำก็จะใช้ไม้สนของประเทศจีน ส่วนไม้สนของไทยจะแน่น มีน้ำหนักมากกว่า

อย่างไรก็ตาม ใครอยากจะลองทำก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่มีอุปกรณ์ช่างไม้ โดยเฉพาะเครื่องกลึง และพอมีฝีมือในทางช่าง รวมไปถึงมีไม้ที่มีคุณสมบัติเบา เนื้อไม้ไม่แน่นมาก ก็สามารถทำได้

ตุ๊กตาไม้โยโย่-ล้มลุก


วัสดุ ในการทำ “ตุ๊กตาไม้ล้มลุก” หลัก ๆ ประกอบด้วย 1.ไม้สนที่กลึงเป็นรูปทรงแล้ว, 2.เส้นเอ็น (ที่ใช้ในการตกปลา), 3.สปริง, 4.ด้ายสี, 5.ไหมพรมสีต่าง ๆ, 6.สีสำหรับเพนท์, 7.แล็คเกอร์สำหรับเคลือบ

วิธีทำตุ๊กตาล้มลุก เริ่มจาก ร้อย รูปทรงไม้ที่ต้องการให้เป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ โดยร้อยเข้าไปในเส้นเอ็นให้เข้ารูป, นำเอ็นที่ร้อยเป็นรูปสัตว์มาเชื่อมกับฐานที่วางตัวสัตว์โดยผูกกับสปริงข้าง ใน ฐานด้านล่าง, ลงสีเพนท์ ตกแต่ง ให้สวยงามตามใจชอบ, เคลือบด้วยแล็คเกอร์อีกครั้ง แล้วตกแต่งด้วยไหมพรมและด้ายสีเพื่อความสวยงาม

วัสดุในการทำ “ตุ๊กตาไม้โยโย่” หลัก ๆ ประกอบด้วย 1.ไม้สนที่กลึงเป็นรูปทรงแล้ว, 2.เชือกป่าน เชือกผ้า เชือกถัก, 3.ใบพัดตกแต่ง, 4.กาว, 5.ลวดสปริง, 6.สีสำหรับเพนท์, 7.แล็คเกอร์สำหรับเคลือบ

ตุ๊กตาไม้โยโย่-ล้มลุก


วิธีทำตุ๊กตาไม้โยโย่ เริ่มจาก นำท่อนไม้สนมากลึงให้เป็นรูปทรงต่าง ๆ (ทรงกลม ทรงรี ทรงเหลี่ยม), ไม้สนที่กลึงได้นั้นจะเป็นชิ้นส่วนของหัว ลำตัว มือ รองเท้า, เจาะรูที่ลำตัวสองด้าน ๆ ละ 2 รู เพื่ออัดกาว สอดเชือก ทำเป็นแขนและขา, นำชิ้นส่วนต่าง ๆ มาประกอบโดยทากาวเข้ารูปร่าง, เพนท์สีตามต้องการ, ทาแล็คเกอร์ทับเพื่อความเงางาม, เจาะรูที่หัวเพื่อร้อยสปริงให้ยืดหยุ่น และแขวนได้

ฉัตรธิดาอธิบายเพิ่มเติมว่า วิธีทำเริ่มจากการกลึงไม้ให้เป็นรูปทรงกลม ทรงรี แล้วนำชิ้นส่วนมาต่อกัน จากนั้นจะเจาะรูเพื่อสอดเชือกให้ดูเป็น แขนขา ซึ่งที่มีวัสดุเชือกเพิ่มขึ้นมาก็เพราะทำให้ตุ๊กตาดูอ่อนช้อยมากขึ้น ดูมีชีวิตชีวาขึ้น และมีสปริงแขวนให้ดูยืดหยุ่น โดยชิ้นส่วนต่อตัวหนึ่งก็จะมีไม้กลึง 3-5 ชิ้น คือส่วนเท้า มือ หัว ตัว คอ และเจาะรูทำสลักในการเชื่อมต่อกัน แล้วใช้กาวติด

“เราจะเน้น หนักไปที่เรื่องของการเพนท์ การลงสี สีนั้นจะใช้เป็นสีน้ำทาไม้ธรรมดาทั่วไป อุปกรณ์ก็จะหาได้ง่ายไม่ยุ่งยาก แต่จะมีรายละเอียดค่อนข้างเยอะ”

ตุ๊กตาไม้โยโย่-ล้มลุก


สำหรับ “ตุ๊กตาโยโย่” นั้น เป็นแบบใหม่ ทำขายเพราะสามารถสร้าง รอยยิ้มและเสียงหัวเราะได้เมื่อใครต่อใครพบเห็น ดูตลก น่ารักดี มันดูอิสระ เหมือนปลดปล่อย

ส่วน “ตุ๊กตาล้มลุก” จะมีเอ็นที่ใช้ตกปลา มาร้อยเป็นรูปร่างได้ และมีสปริงติดอยู่ที่ฐานข้างใต้ พอกดแล้วตุ๊กตามันก็จะล้มลง พอปล่อยสปริงด้านล่างก็จะยืดตรงตั้งขึ้นเหมือนเดิม

ตุ๊กตาไม้ล้มลุก และตุ๊กตาไม้โยโย่ มีประโยชน์ใช้สอยมากกว่าแค่ของเล่น ราคาก็ไม่แพงมาก เหมาะที่จะเป็นของฝาก ของขวัญ ของที่ระลึก ในเทศกาล หรือให้ในโอกาสพิเศษต่าง ๆ

ทุนเบื้องต้นในการทำขาย ก็ตั้งแต่ประมาณ 10,000 บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับขนาดกิจการ ขณะที่ราคาขายอยู่ที่ตัวละ 40 บาทขึ้นไป โดย 40 บาทเป็นราคาขายส่ง ต้นทุนวัสดุจะตกประมาณ 70% ของราคา

ใคร สนใจจะติดต่อ ฉัตรธิดา เพียรดี ก็ติดต่อได้ที่ 72/72 หมู่ 1 หมู่บ้านมณีรินทร์ ถนน 345 ต.บางคูวัด อ.เมือง จ.ปทุมธานี 10200 โทร. 08-6704-3335 ส่วนใครที่พิจารณาจากข้อมูลนี้แล้วได้ไอเดีย อยากจะลองทำตุ๊กตาไม้แปลก ๆ ขายบ้าง ก่อนอื่นก็คงต้องฝึกฝนฝีมือให้ดีเสียก่อน.

40,000 บาทภายใน 7 วันกับ Diamond Holiday...ของจริง มาเป็นต้นสายก่อนใคร...ถ้าคุณรู้จัก TVI express นี่คือโปรแกรมที่จะมาทดแทนและอุดปัญหาที่เคยพบเจอ

www.diamondholidaytravel.co.cc

ไม่ ต้องรักษายอดรายเดือน

ไม่ ต้องเดินทางไปอบรม

ไม่ ต้องเก็บสต๊อกสินค้า

ไม่ ต้องขายปลีก

ไม่ ต้องเดินสุ่มให้เสียเวลา